วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Death Note สมุดโน้ตกระชากวิญญาณ 2006



หนังมันนานแล้วนะจะพูดถึงทำไม ?

ก็ต้องขอบอกก่อนว่าเพิ่งจะดูจบมาหมาดๆเลยคันมืออยากเขียนขึ้นมา  เป็นหนังที่ผมเองอยากดูมานานแล้วแต่ด้วยในยุคสมัยนั้นด้วยความไม่ประสีประสา อาจทำให้ดูไม่รู้เรื่องได้ผมจึงรอเวลาสุกงอมพร้อมจะเสพอย่างมีชั้นเชิง 2549-2556 นานมากจริงๆครับ จากที่เคยสบประมาทหนังจากการ์ตูนมาเยอะแล้วจนมาเจอเข้ากับเรื่องนี้ และ Gantz (กันซึ) อีกก็ต้องออกเสียงภาษาญี่ปุ่นเลยว่า สุโค่ย 

เดธโน้ต (ญี่ปุ่นデスノート Desu Nōto ทับศัพท์จาก Death Note      ดัดแปลงจาก การ์ตูนญี่ปุ่นแนวลึกลับที่สร้างสรรค์ โดย สึงุมิ โอบะ    สร้างโดยค่ายหนังอย่าง วอร์เนอร์บราเทอร์ (warner bros.)  กำกับโดย  ชูสึเกะ คาเนะโกะ   




ยางามิ ไลท์   รับบทโดย   ทัตซึยะ ฟูจิวาระ   เด็กหนุ่มนักเรียนมหาลัยหัวดีอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น เขาเติบโตและถูกปลูกฝังในเรื่องของความยุติธรรมและความถูกต้องมาตั้งแต่เป็นเด็กๆเนื่องจากมีคุณพ่อเป็นตำรวจ  ทำให้เขาตั้งใจที่จะเรียนกฎหมายแต่ด้วยสภาพสังคมในปัจจุบันที่เสื่อมโทรมของโลกยุคนี้  กฎหมายดูเริ่มจะหมดความศักดิ์สิทธิ์ลง อาชญกรลอยนวล เจ้าทุกไม่ได้รับความเป็นธรรม ไลท์ ต้องการจะเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ แต่ลำพังเขาคนเดียวจะไปทำอะไรได้  ความเชื่อในตัวกฎหมายและหน้าที่ของตำรวจที่ ไลท์ มี สั่นคลอนเขาโยนหนังสือประมวลกฎหมายที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดอายุ18ทิ้งกองขยะ  จนกระทั่ง...  เขาได้เจอกับ เดธโน๊ต ที่ล่นลงมาข้างๆกองขยะนั่นแหละครับทิ้งอีกเล่มก็ได้อีกเล่มมาแทนกัน  เดธโน๊ต ได้เขียนไว้ว่า "ใครก็ตามที่ภูกเขียนชื่อในสมุดเล่มนี้จะต้องตาย" พร้อมกฎคู่มือการใช้ต่างๆนาๆอีก  ไลท์หยิบขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ครับว่าสมุดเล่มนี้จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ  เมื่อเขาได้ค้นพบความสามารถของมันเขาจึงตั้งตนเป็นศาลเตี้ย ใส่ชื่อของเหล่าอาชญากรทั้งหลายลงไปในเดธโน๊ตโดยมีอุดมการณ์ที่ว่าจะสร้างสังคมในอุดมคติครับ เมื่อเกิดการตายอย่างปริศนาบ่อยครั้งเข้าด้วยอาการหัวใจวายฉับพัน เท่านั้นแหละครับนามของ  คิระ จึงเป็นที่ประจักษ์  อาชญากรลดลง 70 เปอร์เซ็น ถือว่าเป็นเรื่องดีนะครับประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขแต่...  เล่นฆ่ากันอย่างนี้มันก็น่ากลัวนะครับหากวันใดเราไปทำเรื่องไม่ดีขึ้นมา คิระ ฆ่าฉันแน่ ! ปัญหานี้จึงตกเป็นของตำรวจคต้องหาทางจับตัวคิระที่ทำตัวเป็นศาลเตี้ยไม่เคารพกฎหมายอย่างนี้  โดยต้องขอความช่วยเหลือจาก L  รับบทโดย  เค็นอิจิ มัตซึยาม่า



ชายลึกลับเจ้าหน้าที่องค์กรตำรวจสากลมาตามสืบเรื่องนี้ ทำไมถึงต้องขนาดนี้ด้วยหรอครับ เพราะไลท์เขาเล่นอาชญากรทั้งในและนอกประเทศเลยล่ะครับจากการรับข่าวสารทาโทรทัศน์และแฮ็กระบบฐานข้อมูลของตำรวจญี่ปุ่นอีก ซึ้ง L อนุมานว่า คิระน่าจะเป็นคนญี่ปุ่นครับเลยดั้นด้นมาเพื่อจัดการโดยเฉพาะ ด้านไลท์ก็มีเพื่อนข้างกายเป็นยมทูตอีกงานนี้จึงไม่ใช่เรื่องเด็กล่ะครับ  เหตุการณ์จะเป็นยังไงลองหามาติดตามดุกันครับซึ่งผมเชื่อว่าหลายคนคงดูกันหมดแล้วมีผมที่เพิ่งจะมาดู 

หนังดัดแปลงจากการ์ตูนเยอะพอสมควรครับมีจุดแตกต่างให้แยกแยะได้ตามลิงค์นี้เลยครับเข้าไปอ่านดูกันได้http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93









คิระ ทำถูกแล้วจริงหรอ ?     

มันน่าอิจฉานะครับที่มีเดธโน๊ตในครอบครอง แต่ไลท์ที่มีเดธโน๊ตกับไม่มีนี่มันคนละคนเดียวกันเลยนะครับ  ก่อนหน้าที่เขาจะมีเดธโน๊ตเขาก็ยังดูเป็นคนทั่วไป ปกติธรรมดานี่แหละครับ แต่เมื่อได้เริ่มฆ่าคนชั่วเท่านั้นแหละครับแววตาเข้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนทันที    คิดว่าตัวจะเป็นพระเจ้าที่จะสร้างสังคมใหม่ให้กับโลก หากลองย้อนมองแล้วดูแล้วที่มีแต่เขาว่าอาชญากรฆ่าคนตายควรถูกลงโทษ แต่เขาลืมดูตัวเองไปเลยนะครับว่าเขากำลังทำอะไรอยู่  ตัวเขาเองก็ไม่ต่างจากพวกนั้นเลยครับเพียงแต่เขาก็พยายามอ้างด้วยคำพูดสวยหรูว่า จะทำการใหญ่ต้องยอมเสียสละ   จากสารเตี้ยที่มีอุดมการณ์สู่ความสนุกสนานส่วนตัวโดยปริยายครับ  ยิ่งมี ลุค ยมทูตประจำสมุดเดธโน๊ตมองว่าการกระทำของไลท์เป็นเรื่องสนุกสนานบันเทิงเริงใจด้วยแล้ว บ้ากับบ้ามาเจอกันความบรรลัยจึงบังเกิดครับ  ที่เขียนมานี่ทำไมรู้สึกเหมือนผมมองว่านายไลท์นี้เป็นคนไม่ดี ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอย่างนี้หรอกครับจนดูจบโน้นแหนะไม่สปอยแล้วกันบางคนคงรู้แล้ว    ความรู้สึกครึ่งแรกที่หนังเล่นกับคนดูคือเหมือนจะให้คนเข้าใจว่าการกระทำของไลท์เป็นสิ่งที่ถูกต้องครับ ผมก็อดลุ้นเอาใจช่วยเฮียแกไม่ได้เหมือนกันนะมันสนุกมากๆแต่พอถึงตอนจบเท่านั้นแหละครับ   คนเราเมื่อมีอำนาจมีพลังแล้วจะยังคงตัวตนความเป็นตัวเราเองได้นานแค่ไหนโดยไม่ถูกพลังอำนาจเหล่านั้นกลืนกินไปล้อหลอกมอมเมาไป เรื่องของเขามันเศร้าครับ    




เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร 

จากรูปนะครับ2 FBI คู่รัก ผู้ชายคือ เรย์  รับบทโดย ชิเคอิ โฮโซคาวะ (หรือที่เด็กผู้ชายหลายคนรู้จักกัน ในนาม ของ ไรเดอร์ ฮิบิกิ)   ผู้หญิง นาโอมิ มิโซระ รับบทโดย  อาสากะ เซโตะ    ทั้งคู่ตั้งใจจะล้างมือจากวงการและออกมาแต่งงานกัน แต่ด้วยว่าเกิดคดี คิระ ขึ้น เรย์ และ FBIอีก10คนถูกเรียกตัวโดย L ให้สะกดลอยตามผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นคิระ  คนที่เรย์ได้รับหน้าที่ให้ตามก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ ไลท์ นั้นเอง ไลท์จึงวางแผนกำจัดเรย์และFBIอีก10คนครับ ซึ่งสำเสร็จลุล่วงด้วยดีครับ  แต่มีหรอที่อดีต FBI สาว อย่างนาโอมิ จะยอมปล่อยไว้อย่างนี้เรย์ตายในอ้อมกอดของเธอครับ ความแค้นมันคับอกคับใจอย่างนี้แล้วต้องยกออกครับไม่งั้นเดี๋ยวใจถลอก ! เธอจึงตามล้างแค้นคิระโดยอยู่นอกเหนือคำสั่งของ L ใช้วิธีการเอาคืนแบบถึงพริกถึงขิงครับ
 การแก้แค้นมีแต่จะนำมาซึ่งควมสูญเสียของทั้งสองฝ่ายครับ   เคยมีสุภาษิตว่าไว้ครับ การแก้แค้นเป็นอาหารรสเลิศเมื่อเย็นแล้ว   เรย์ยังไม่ปักใจเชื่อหรอกนะครับว่าไลท์เป็นคิระ แต่ไลท์ระแวงว่าสวัสดิภาพของตนจะถูกล่วงล้ำเขาเลยชิงลงมือก่อน ทำให้เขาทำลายกฎข้อหนึ่งที่เขาพูดว่าจะฆ่าแต่คนชั่วครับ มันเหมือนถ่มน้ำลายขึ้นฟ้าแล้วล่วงลงที่หน้าตัวเอง ส่งผลให้เกิดเป็นการแก้แค้นครั้งนี้อีก  แน่นอนครับว่าลงเอยได้อย่างหน้าหดหู่สุดๆ



เธอคนนี้ช่างน่าสงสาร 

ชิโอริ รับบทโดย  คาชิอิ  ยู  ตามท้องเรื่องเธอเป็นแฟนสาวของไลท์ครับ เธอยังเป็นอีกคนนึงนะครับที่อยู่เคียงข้างไลท์ในขณะที่ไลท์หมดความศรัทธาในตัวบทกฏหมาย แต่ชิโอริยังเป็นคนที่เชื่อในกฎหมายครับ มองว่าการกระทำของคิระเป็นศาลเตี้ย นอกจากนี้เธอยังโดน นาโอมิใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเข้าใกล้ไลท์อีก  พอเธอรู้ว่านาโอมิมีแผนเธอก็ต้องปกป้องไลท์ตามแต่กำลังเธอจะเอื้อครับ เพราะนอกจากบทพูดในหนังของเธอกับฉากที่ออกมาจะน้อยเกินไปแล้ว การจากไปของเธอทำให้ผมถึงกับตาสว่างเลยทีเดียวครับอะไรเป็นอะไร เหนือกว่ายมทูตยังมีผีห่าซาตาน ! มันเลวร้ายมากๆ



คุณพ่อที่แสนดี   

เป็นตัวละครที่ผมชอบที่สุดในเรื่องเลยก็ว่าได้ ผู้กองยางามิ หรือพ่อของไลท์ ถูกมอบหมายให้ทำคดีสืบสวนเรื่องของคิระ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่รู้หรอกครับว่าคิระนี่คือลูกของแกเอง มีฉากนึงในหนังที่กรมตำรวจเริ่มจะสงสัยแล้วว่าคิระอาจเป็นคนในกรมตำรวจเอง และ สามารถสังหารเหยื่อได้เพียงแค่รู้ชื่อ  ผู้กองยางามิจึงประกาศในออฟฟิศเลยครับว่า "ใครที่ยังไม่อยากเสี่ยงให้คิระรู้ชื่อ และอาจตกเป็นเหยื่อผมอนุญาตให้ถอนตำออกจากคดี" คนที่ไม่พาวเวอร์ก็ถยอยกันออกครับถ้วนหน้าครับ เหลือเจ้าหน้าที่อยู่ประมาณ3-4คนที่มาช่วยผู้กอง มีภาวะความเป็นผู้นำสูงมากๆ  ยิ่งเมื่อตอนที่ L สงสัยว่าไลท์ก็คือคิระจนถึงกับติดกล้องสอดแนมทั่วห้องของเขา ผู้กองยางามิถึงกับไม่หลับไม่นอนเพื่อเฝ้าดูไลท์ทุกอิริยาบทครับพิสจูน์ความบริสุทธิ์ของลูกชายตัวเอง รักลูกมากๆเลยครับลุงคนนี้


     ตัวหนังเล่นกับความรู้สึกของคนดูได้อย่างน่าทึ่งครับ  ในช่วงแรกตอนที่ไลท์ได้เดธโน๊ตมาใหม่ๆเขาเริ่มใช้จนเราคนดูจะรู้สึกชื่นชมในอุดมการณ์ที่เขามีครับ เมื่อตำรวจออกมาตรการจับกุมคิระขึ้นมาเราก็อดลุ้นที่จะเอาใจช่วยคิระไม่ได้เลย กลัวไลท์ถูกจับ จนไลท์เริ่มปะฉะดะกับตำรวจเท่านั้นแหละครับเขาพยายามหาทางเอาตัวรอดด้วยการฆ่าทุกคนที่เป็นก้างขวางคอทิ้ง จนไม่สนครับว่าที่ฆ่าไปนั้นจะเป็นคนดีหรือคนเลวเอาตัวเองไว้ก่อนเป็นสำคัญ เท่านั้นแหละครับคนดูก็อาจย้ายข้างไปอยู่ฝ่ายตำรวจและ L ทันทีเลย   ผมซึ่งเคยดูอะนิเมกับอ่านการ์ตูนมาแบบผ่านๆ อาจไม่ซึมซาบเท่าเหล่าแฟนคลับที่ติดตามอย่างต่อเนื่อง ก็เลยไม่อาจเปรียบเทียบว่าอย่างไหนดีกว่ากันและแน่นอนครับหนังสั้นกว่าได้ใจความก็ดูหนังเถอะครับสนุกถูกใจคอหนังหักมุมแน่นอน !  ดูจบแล้วต้องดูภาค2ต่เลยนะครับเพื่อความต่อเนื่อง

                                                                7/10

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Django unchained คาวบอยผิวหมึก !

Django Unchained  2012



ผลงานกำกับและเขียนบทเรื่องล่าสุด ของเจ้าพ่อหนัง(บ้าอะไรของมันว่ะเนี่ย) quentin tarantino  เควนติน ทาแรนติโน่


ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เล่นๆ  ก็ตรงที่ว่าตัวหนังคว้าออสการ์ปีนี้(2013) ถึงสองตัวด้วยกัน อันได้แก่บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม  และดาราสมทบชายยอดเยี่ยม Christoph Waltz (คริสตอฟ วอลท์)    ด้วยคอนเซ็ปที่ว่าด้วยทาสผิวดำกลายมาเป็นคาวบอยก็เพิ่มความอยากดูให้ผมแล้ว  ยิ่งได้รางวัลอีกมันก็เหมือนมีอะไรไปกระตุ้นว่าหนังมันต้องมีอะไรดีแน่ๆจะรอเข้าไปเบ่งถึงในโรงภาพยนตร์เลย แล้วก็เป็นอีก  ครั้งที่เซ็นทรัล สุราษฎร์ ทำผมผิดหวังโดยการเอาโปสเตอร์ขึ้นแต่ไม่ฉาย !  ซะงั้นอะ  ก็ไม่เป็นไรผมก็ต้องทำใจว่าโรงหนังต่างจังหวัดก็ต้องฉายหนังฟรอมยักษ์ก่อนเป็นธรรมดา ก็รอครับ จนกระทั่งความอดถึงขีดสุดทำให้ต้องไปหาซาวด์แท็กมาดูเป็น HD ด้วย

รู้สึกผิดที่ไม่รอแบบมาสเตอร์ แต่พอพากย์ไทยออกมาผมก็ยังโหลดมานั่งดูอีกนั่่นแหละ เฮ่อบ้าน้ำมาพอแล้วเข้าเรื่อง ครับ  เข้าเรื่อง!


 "Django" ตอนแรกผมอ่าน ดีจังโก้  แต่ที่จริงแล้วแค่จังโก้ครับ  เป็นงานทั้งดัดแปลงทั้งRemake จากงานต้นฉบับ Django 1966



 แต่แน่นอนว่าดัดแปลงด้วยจึงไม่ได้ลอกมาทั้งหมด   เอาแค่ว่าจังโก้เป็นนิโกรก็ถือว่าดัดแปลงมากๆแล้ว

เวอร์ชั่น1966ผมก็ยังไม่ได้ดูแต่เจอลิงค์แล้วจะหาเวลาลองโหลดมาเสพ




     โดยเปิดเรื่องมาขบวนค้าทาสผิวดำของสองพี่น้องพ่อค้าทาสกำลังสัญจรอยู่ดีๆก็มีชายแปลกหน้าเรียกตัวเองว่า "ด็อกเตอร์ ซู๊ต" รับบทโดย คริสตอฟ วอลท์    เข้ามาถามหาทาสที่ชื่อว่า "จังโก้" รับบทโดย เจมมี ฟ็อกซ์  พร้อมเสนอราคา  แต่สองพี่น้องนักค้าทาสไม่ขายจึงเกิดเหตุเลือดตกยางออกกันบ้างเล็กน้อย(ตาย1บาดเจ็บ1)




ซึ่งภายหลัง ด็อกเตอร์ ซู๊ต เปิดเผยตัวเองว่าเป็น นักล่าค่าหัว ต้องตามล่าสามพี่น้องตระกลูบีทเทริล์ แต่โดยที่ตนไม่รู้หน้าตาที่แท้จริงของพวกบีทเทริล์ จึงต้องอาศัยจังโก้ซึ่งจดจำหน้าตาสามพี่น้องนั่น  




ในฐานะผู้ทรมานตนและภรรยาได้เป็นอย่างดีเพื่อออกตามล่า โดยด็อกเตอร์ ซู๊ต สัญญาว่าจะปล่อยจังโก้ให้เป็นอิสระเมื่อเสร็จงานแล้ว  

ฟาดไม่ยั้ง !


 จังโก้ยอมตกลงตามเงื่อนไข เมื่องานกำจัดสามพี่น้องบีทเทริล์เสร็จสิ้น ด็อกเตอร์ ซู๊ต มองเห็นศักยาภาพในการเป็นนักล่าค่าหัวของจังโก้จึงเสนองานให้


 แต่จังโก้มีความมุ่งมั่นที่จะตามภรรยา หมอชู๊ตเลยยื่นข้อเสนอครั้งสุดท้ายว่าถ้าหากจังโก้ช่วยเขาล่าไปจนหมดฤดูหนาวตนจะช่วยจังโก้ตามหาภรรยาให้เขาด้วย(หมอใจอย่างหล่ออ่ะ)    หมดฤดูหนาวแน่นอนทั้งสองสืบจนรู้ว่าภรรยาจังโก้อยู่กับใครและที่ไหน"ปฎิบัติการเอาเมียกูคืนมา"จึงอุบัติขึ้น   จะช่วยได้หรือไม่ ? ไปหาดูกันเอาเองครับ !

การนำเสนอเรื่องราวมาในแบบของ เควนติน ทาแรติโน่ ที่มักจะใช้องค์ประกอบต่างที่ยังคงความคลาสสิคขณะเดียวกันก็ยังร่วมสมัย  โดยหนังเรื่องนี้ถ่ายทำด้วยกล้องฟิลม์ไม่ใช้ดิจตอล สเปเชี่ยลเอฟเฟ็กในหนังจัดสดเลือดเนื้อพลาสติดยางลาเท็ก ไม่ใช้  คอมพิวเตอร์CGแต่อย่างใด   บทพูดการโต้ตอบกันของตัวละครฉะฉาน แม้จะพูดนอกเรื่องทำคนดูงงๆแล้วค่อยกลับเข้าเรื่องเดิมนี่ก็เป็นอีกสไตล์ที่พบบ่อยในหนังของ เควนติน   งานดนตรี ตอนเปิดเรื่องมาก็ใช้เพลงธีมจากหนัง จังโก้ ปี1966กันเลยทีเดียวจะคลาสสิคไปไหน





แต่มากลางเรื่องก็จะมีดนตรีสไตล์หนังคาวบอยตะวันตกแทรกมากับเพลงแร็ฟฮิปฮ็อปเป็นช่วงๆ มันดูขัดกันแต่ลงตัวแปลกๆ   พล็อตเรื่องของหนังก็พอจะเดาทางได้ไม่ยาก  หักมุมมีไหม ? มีครับ แต่ที่เน้นหนักเห็นจะเป็นฉากความรุนแรงที่ใส่มาแทบจะทั้งเรื่องอาจดูเนียนบ้างไม่เนียนบ้างแต่มันก็ดูโหดร้ายจนน่ากลัวครับไม่แนะนำให้เด็กขวัญอ่อนดู



ดาราในเรื่องจัดเต็มสุดๆครับ ระดับแถวหน้าทั้งนั้น Jamie Foxx เจมมี่ ฟ็อกซ์ ในบท จังโก้ ช่วงแรกอาจจะดูเผินๆว่าเขาเป็นคนซื่อๆแต่จริงแล้วมันร้ายครับไอ้นี่ร้ายในที่นี้หมายถึงเก่งฉลาดมีความสามารถแต่ข้อที่สำคัญแล้วผมชอบมากคือแกรักเมียแกมะว๊ากๆเลยครับ   เมื่อเป็นอิสระแล้วก็ต้องเรียบตามหาทันทีเลย
แต่ตัวละครตัวนี้มีความไม่สมเหตุสมผลตรงที่ว่าตอนแรกมันก็ดูเหมือนคนธรรมดานี่แหละครับแต่พอได้จับปืนเท่านั้นพี่ท่านเทพไม่เผื่อแผ่ใครจริงๆ
เปรี๊ยง ! 
แม่นไหมเฮีย ?



ด้านคุณเมียของพี่จังโก้ เธอชื่อ บลูมฮิวด้า รับบทโดย Kerry Washington  เคอรี่ วอชิงตั้น

เธอคนนี้มาพร้อมกับลอยยิ้มละไมครับเพราะบทพูดของเธอในหนังเรียกได้ว่าน้อยมากๆแต่การแสดงของเธอสื่อออกมาทางภาษากายครับ ไม่ว่าจะตอนกลัวหวาดผวา ร้องไห้


เธอตีบทแตกจริงๆ   ยิ่งเอานิ้วอุดหูตอนท้ายนี้น่ารักแบบแปลกๆครับชอบท่าเธอมาก แต่บทพูดเธอมันน้อยจริงๆนะครับไม่เชื่อไปนั่งนับดูว่าเธอพูดกี่ประโยค
ท่าเธออิ๊บบิ๊วมว๊าก

ที่จะขาดไปไม่ได้เลยคือ หมอซู๊ต นักล่าฆ่าหัว ครับ  Christoph Waltz (คริสตอฟ วอลท์)  เป็นตัวละครที่ผมชอบที่สุดในเรื่องเลยก็ว่าได้ด้วยท่าทางยี่ยวนกวนบาทากับความน่ารักในรอยยิ้ม  ผมให้พี่แกสามผ่าน ! บทแกเป็นทั้ง เจ้านาย เพื่อน คู่หูพี่ชาย พ่อ และ อาจารย์ของจังโก้เลยก็ว่าได้



เขาฝึกจังโก้ให้เป็นนักล่าฆ่าหัวมีอาชีพได้อย่างสมบรูณ์แบบในทีแรกผมคิดว่าเขาจะหลอกหาประโยชน์จากจังโก้(ยังไม่น่าไว้ใจ)เพราะก่อนหน้านี่ผมเห็นแต่ป๋า วอลท์ เล่นแต่บทผู้ร้ายมาแล้วทั้งนั้นเรื่องนี้แก ลบคลาบตัวร้ายตัวโกงออกไปได้อย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว  เขาเป็นห่วงจังโก้ว่าหลังจากสิ้นสุดงานกับเขาแล้วจะไปตามหาบลูมฮิวด้าก็กลัวว่าจะถูกจับไปขายเป็นทาสอีกพี่แกเลยอาสาช่วยอย่างเต็มที่ทั้งวางแผนการ คอยสนับสนุนจังโก้ในเรื่องต่างๆรวมทั้งเรื่องเงินๆทองๆด้วย พี่แกคงประทับใจตั้งแต่ตอนที่จังโก้บอกว่าจะไปตามหาเมียแล้วล่ะครับ ผมเห็นได้จากแววตาเลยว่าหมอ ซู๊ตอยากให้พวกเขาสองผัวเมียอยู่ด้วยกัน ผมจึงไม่แปลกใจเลยที่แกได้ออสการ์สาขาดาราชายสมทบไม่มีข้อกังขาครับ



และผมก็มัวแต่ชมหมอชู๊ตลอยหน้าลอยตาเกินไป จนลืมอีกสองตัวละครสำคัญที่สร้างสีสันให้หนังไปเลย  นั้นคือตัวร้ายของเรื่องครับ



คาร์วิน แคนดี้ เพลย์บอยหนุ่ม เจ้าของไร่แคนดี้แลนด์ รับบทโดย Leonardo dicaprio (ลีโอนาโด ดีคาปริโอ้) ขวัญใจสาวๆเมื่อนานมาแล้ว(ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่แต่ว่าสาวแก่นะ อิๆ)   ลืมไอ่แจ็คที่จมไปกับเรือไททานิคไปได้เลยครับพี่แกในเรื่องนี้ไม่เหลือความเป็นพระเอกให้เห็นอีกแล้ว เรื่องนี้แกร้ายแบบเต็มหมดเต็มหน่วยครับถึงขั้นโรคจิตเลยก็ว่าได้ ด้วยบุคคลิกของแคนดี้ที่เหมือนเด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างเอาแต่ใจพอโตไปเขามีอิทธิพลทำอะไรได้อย่างใจต้องการแต่ในเมื่อพวกจังโก้จะชิงของที่เป็นของเขา(เมียจังโก้ตกเป็นทาสในเรือนเบี้ยครับ)มีหรือที่เด็กเอาแต่ใจคนนี้จะยอม กิจกรรมที่แคนดี้โปรดปรานเรียกว่า "มวยแมนดิงโก้" คือการให้ทาสผิวดำมาสู้กันจนตายไปข้างนึงครับ ดูพี่แกเล่นสิคำว่ามนุษยธรรมอาจจะไม่มีในมนุษย์ผู้นี้เลยก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ร้ายที่สุดในเรื่องนะครับ      



สตีเฟ่น  หัวหน้าพ่อบ้านของ คาร์วิน  รับบทโดย Samuel L. Jackson (แซมมวลแอล แจ็คสัน) หลายคนอาจจะคุ้นชินกับแกในบทพระเอกหรือผู้ช่วยหรือหัวหน้าพระเอก อย่างที่ลุงแกเป็น นิค ฟิวรี่ในดิอเวนเจอร์แล้วละก็   ผิดถนัดครับเรื่องนี้ !
เริ่มจากแปลงโฉมซะจนเห็นแว๊บแรกก็อาจจะงงว่าใช่แกแน่หรอ ? เพราะในเรื่องนี้แกดูตัวหนาขึ้นมากครับเป็นลุงแก่ๆอ้วนๆคนนึงแต่อย่างเพิ่งตัดสินที่ภายนอกครับลุงแกนี่แหละเรียกได้ว่าเป็นกุนซือของคาร์วินครับ มีแผนการ เจ้าเล่ห์ เหลี่ยมจัดสุดๆ การพูดจาโวกเวกโวยวายทำตัวเจ้ากี้เจ้าการ ได้อย่างน่ารักมากครับแต่พอดูไปได้สักพักหางลุงแกจะหางโผล่ครับ เป็นอีกงานแสดงนึงของ ลุงแซมที่ถูกใจผมมาก เล่นได้เข้าขากับลีโอสุดๆ  แจ๋วยังไงต้องลองเบิ่งครับ
                                     

และในช่วงกลางเรื่องจะมีอยู่ฉากนึงที่ได้มีการอันเชิญ จังโก้จากปี 1966   Franco Nero (ฟรานโก้ เนโร) มาพบกันกับจังโก้ในปี 2012 ครับในบทสมทบเล็กๆที่ถ้านักเสพหนังรุ่นพ่อเห็นเข้าก็จะอมยิ้มกันถ้วนหน้าครับ  เพราะแกจะหันมาถามจังโก้ว่า "นายชื่ออะไร"  จังโก้ก็ตอบ "จังโก้"   ลุงแกก็ต่อครับ "สะกดเป็นไหม?"    จังโก้สวนกลับทันทีครับ "D-J-A-N-G-O ไม่ออกเสียงตัวD "  แกก็ตอบมาว่าเออกูรู้นั่นแหละครับเป็นการคารวะหนังต้นฉบับอย่างน่ารักมากๆเลยครับ  ทำให้อยากดู จังโก้1966 ขึ้นมาในทันใด !
                                                         
จังโก้สะกดยังไง ?
เออ.. เอ็งเก่ง



เหตุการณ์ในหนังเป็นในช่วงก่อนที่จะมีการเลิกทาสในอเมริกานะครับ โดยหนังจะนำเสนอภาพการถูกกดขี่ที่ของทาส ได้รับการดูถูกเหยียดยาม การเหยียดผิวมองว่าคนดำไม่ใช่คน   จะว่าหนังเรื่องนี้อวยคนดำไหมก็ค่อนข้างครับเพราะหากคิดตามหลักความเป็นจริง จะต่างสี  ต่างวรรณะ  ต่างภาษา  ต่างศาสนา  มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ครับ เราควรจะช่วยเหลือเกลื้อกูลกันในฐานะเพื่อนร่วมโลกครับ (แบบที่ หมอ ซู๊ตวางตัวในเรื่อง แกพูดว่าแกทำให้จังโก้เป็น ไท ซึ้งแกไม่เคยทำให้อิสระภาพแก่ใครมาก่อนมันจึงเป็นความรับผิดชอบของแกที่จะต้องช่วยจังโก้ครับ ใจโคตรหล่อเลยหมอ)  


ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวกแบ่งฝ่าย การเหยียดผิวอาจดูเหมือนว่าหายไปจากสังคมแล้วแต่มันก็ยังมีนะครับ   กลุ่มบางกลุ่มที่มองคนดำเป็นปีศาจหรือพวกนอกรีต อย่าง(ครูครักแคน)    แม้แต่ในสังคมปัจจุบันเองก็ตามครับที่เด็กๆมันจะถูกปลูกฝังว่าตัวเองดำแล้วจะไม่สวยก็ดิ้นรนให้ตัวเองขาวจะได้สวยขึ้นด้วยยาและผลิตภัณฑ์ต่าง การทับถมกันเรื่องความขาว ความดำ มันเป็นอะไรที่ไร้สาระสิ้นดีครับ แต่ทำไงได้ครับในเมื่อสังคมมาซะอย่างนี้แล้วเราจะเปลี่ยนอะไรได้ตัวเรามันก็แค่คนตัวเล็กครับไม่มีอำนาจพอที่จะไปเปลี่ยนแปลงหรือบงการสังคมให้ไปในทิศทางที่ตนต้องการ  พล่ามมามากแล้วสรุปครับ จังโก้ เป็นหนังที่อาจไม่ถูกปากคอหนังแอ็กชั่น แต่จะเหมาะกับคนที่เสพหนังที่ตัวบทซะมากกว่ามันแฝงปรัชญาบางอย่างไว้เยอะแยะครับอยู่ที่ว่าคุณดูแล้วจะเก็บเกี่ยวอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ยิ่งถ้าคุณเป็นแฟนหนังเควนตินแล้วละก็นะ มันหวานหมูคุณเลยล่ะครับ


   คะแนนผมให้  8.5/10

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Superman ล้มลุกคลุกคลานมากว่า 75 ปี !

75ปีซุปเปอร์แมน 

     
  * คลิปด้านบนเป็นสกุ๊ปที่สรุปเรื่องราวของSuperman ในโลกภาพยนตร์ไว้แล้วนะครับถ้าขี้เกียจอ่านก็ดูวิดีโอได้ข้างล่างเป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ^^




เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซุปเปอร์แมนภาคใหม่ในชื่อ Man of steel  ได้เข้าฉายในไทยให้ปุถุชนคนทั่วไปได้ดู เพราะผมไม่นับรอบสื่อมวลชน  
  
 ก่อนหนังจะฉายมีหลายคนมองว่าหนังซุปเปอร์อาจไปไม่รอด เพราะเมื่อเทียบกับตอนก่อนหน้านี้ในชื่อ Superman return เมื่อ7ปีก่อน รายได้รายรับกับคำวิจารณ์ออกไปในทางลบซะมากกว่า โปรเจ็กภาคต่อที่ว่าจะทำกันก็เป็นอันต้องล้มพับเก็บไป  นานถึง7ปี   Man of steel จึงได้ลืมต่อดูโลกอีกครั้ง


  Superman Returns น่าผิดหวังเพราะอะไร ? 

อันนี้ตัวผมเองต้องบอกไว้ก่อนว่าค่อนข้างชอบอะไรหลายๆอย่างในภาคนี้พอสมควร เพราะตัวผู้กำกับ Bryan Singer   (ไบรอั้น ซิงเกอร์   เจ้าของผลงาน หนัง X-men เกือบทุกภาค และ แจ็คผู้ฆ่ายักษ์)
ต้องการสารต่องานและเป็นการคาราวะในตัวให้กับหนัง 

Superman 1978 โดยอิงเรื่องราวให้ต่อกัน  เด็กรุ่นใหม่ที่ไม่เคยดู ซุเปอร์แมนภาคที่พูดไว้ในข้างต้นก็อาจจะงงกับเนื้อหาบ้างเล็กน้อย  เพราะผมเองหลังจากดู Returns จบต้องรีบไปหา  ภาคก่อนหน้ามานั่งดูทำความเข้าใจ และ เรียงลำดับการดูได้ดังนี้ 

Superman 1  - Superman 2 -  Superman Returns   แต่หนัง Returns ก็พยายามช่วยคนดูรุ่นใหม่ให้เข้าใจสถานะการในหลายๆจุดเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเยอะ    สเปเชี่ยลเอ็ฟเฟก จัดว่าโอเคกว่าภาคก่อนเยอะแต่ที่พลาดไปคงจะเป็นตรงเนื้อหานี่แหละ เรื่องเล่าว่าซุปเปอร์แมนค้นพบเศษซากที่เหลือของดาวบ้านเกิด เลยขึ้นไปสำรวจว่ามีอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง   ทิ้งโลกไปกี่ปีอันนี้ผมลืมแล้ว   กลับมาก็สร้างความฮือหาให้กับเหล่ามิตรรักแฟนเพลงได้ ยกเว้นนางเอกของเรื่อง ที่แต่งงานมีลูกมีผัวไปแล้ว (ซุปอกหัก)  ตัวร้ายก็เป็นชายหัวโล้นจากภาคเก่า(เล็กซ์  ลูเธอร์)ที่มาพร้อมกับแผนร้ายอีกตามเคย   ปี 1978 กับ 2006 คงไม่ต้องเทียบเรื่อง เอ็ฟเฟก แต่ที่ไม่ถูกปากคอหนังบ้านเราคงเห็นจะเป็นฉากแอ็กชั่นที่แทบจะไม่มีเลย ถึงมีก็เป็นอะไรที่ซอฟและเบามากๆคนดูอาจจะหลับได้ (ผมก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น)  Returns จึงไม่เหมาะกับคอหนังแอ็กชั่นด้วยประการทั้งปวงเน้นหนักไปทางดราม่า(แต่ก็ดราม่าไม่สุดอีกนั้นแหละ)   หนังไม่ได้แย่จนเลวร้ายครับดูเพลินได้ยิ่งถ้าดู ภาคปี 1978 มาแล้วเชื่อว่าจะต้องติดตามความสัมพันธ์ของตัวละครชุดนี้ครับ  

และเพลงประจำตัวของซุปเปอร์แมนก็ยังตามมาให้ฟังกันในภาคนี้ครับ 

Man of Steel  บรุษเหล็กซุปเปอร์แมน ในสายตาผม 


ในความคิดของผมเรียกได้ว่าเป็นการกลับมาอย่างสวยงามจริงๆ  สิ่งที่หายไปของซุปเปอร์แมนในภาคนี้ หนีไม่พ้น"กางเกงใน"     และเพลงธีมสุดอมตะของซุปเปอร์แมนที่ด้านบน แต่ผมก็ยังยืนยันเต็มคำได้เลยว่านี่แหละพี่ซุปคนเดิมครับ ความดีความชอบต้องยก ให้ทีมงานเบื้องหลังอย่าง  ผู้คุมการสร้าง   คนเขียน บทและผู้กำกับจริงๆ      ซุเปอร์แมนภาคก่อนๆที่ทำมาไม่เคยเน้นหนักเรื่องที่มาของซุปเปอร์แมนเท่าภาคนี้ยิ่งฉากเปิดเรื่องผู้ชมก็จะได้ทำความรู้จักดาว"คริปตั้น"กันแบบเน้นเลยทีเดียว  ที่ผมชอบมากๆก็คือแนวคิดของพ่อซุปเปอร์แมนในเรื่อง(จอร์-เอล)   รับโดย รัซเซล โคลว์ 

เนื่องจากดาวคริปตั้นมีระบบการจัดหมวดหมู่ประชากรอย่างชัดเจนเมื่อเด็กเกิดมาจะต้องจับใส่แค็ปซูลแล้วป้อนชุดคำสั่งข้อมูลเข้าสมองบอกว่า เด็กคนนี้เมื่อโตขึ้นจะต้องเป็นอะไรเช่น   ทหาร    นักปกครอง  ประชากร  ระดับไหนอาชีพอะไรมีการแบ่งแยกชัดเจน สิ่งทำกันมาช้านานในดาวคริปตั้นจนเป็นเรื่องปกติ
จอร์-เอล เล็งเห็นว่าเราทุกคนมีสิทธิ์เลือกที่จะเป็นอะไรก็ได้ หาใช่สังคมที่เป็นตัวกำหนดว่าเราจะเป็นอะไรดี เด็กทุกคนล้วนมีความฝันเป็นของตัวเอง  เขาจึงให้ลูกชายคลอดและเติบโตมาอย่างธรรมชาติที่สุดเพื่อให้เขาได้เลือกที่จะเป็นอะไรก็ตามที่เขาอยากเป็น  เป็นประเด็นเนื้อหาที่ผมชอบที่สุดเพราะเมื่อมองทุกวันนี้ในสังคมเราบางครอบครัวค่อนข้างจะกำหนดทิศทางต่างๆพร้อมบังคับให้ลูกเดินตามไปโดยไม่ถามว่าลูกอยากเดินไปหรือไม่  ฉากนี้ทำคนทึ่งในตัวบทหนังภาคนี้มากๆแต่เมื่อไปคุยกับเพื่อนๆในวงสนทนา เกี่ยวกับหนังภาคนี้ หลายคนจะพูดไปในทางที่ว่าหนังอลังการฉากต่อสู้มันส์ซะใจ(ซึ่งผมไม่เถียง บ่องตงว่ามันสุโค่ยมากๆ ) แต่บทหนังไม่มีอะไรเลย(ก็แล้วแต่คนมองนะครับมองได้ลึกแค่ไหน) เล่าเรื่องในวัยเด็กของซุปเปอร์แมนน้อยเกินไปนี่ก็เป็นอีกปัญหานึงที่ผมว่ามันเล็กจนไม่ต้องไปสนใจก็ได้เพราะตลอด2ชั่วโมงกว่าๆหนังพยายามเล่าตัดสลับเหตุุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันอยู่แล้ว มันทำให้หนังไม่อืดและไหลลื่นอันนี้ก็ขอชมในเรื่่องการลำดับเหตุการณ์  เพราะถ้าหากดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรงเล่าตอนเด็กเรื่อยมาจนเป็นซุปเปอร์หนังคงอืดเป็นเส้นมาม่า

ฉากต่อสู้เหมือนดราก้อนบอล ?

ให้สามครับว่า  ( มัน จุงส์  เบย )  เหมือนดูดราก้อนบอลแต่ประเด็นที่ตามมาก็คือท่านผู้รู้(ทำเป็นรู้) คิดว่าหนังซุเปอร์แมนภาคนี้ทำกำเนิดลอกเลียนแบบกำเนิดโกคูในดราก้อนบอล     คาร์-เอล (ซุปเปอร์แมน) คาคาล็อต (โกคู) นั่งยานอวกาศนี่ดาวระเบิดมาเหมือนกัน  "ซุปเปอร์แมนลอกดราก้อนบอลมาชัดๆ" ผิดแล้วครับ !    Dragonball ตีพิมพ์ในช่วงปี ค.ศ.1986-1989 (นานจุงเกิดกันยังหว่า )  Superman ตีพิมพ์ในช่วงปี ค.ศ. 1938 (โอ้พระสงฆ์ก่ชาติมาแล้วเนี่ย !)  Dragonball ในช่วงแรกก็เป็นการเดินทางตามหาดราก้อนบอลเพื่อขอพรบลาๆ จนหมดช่วงศึกพิโกโร่ไปแล้ว พล็อตที่ว่าโกคูเป็นมนุษย์ต่างดาวจึงตามมาครับไม่ต้องมานั้งเดาให้เสียเวลาเลยว่าเอามาจากเรื่องอะไรเป็นอันจบนะครับว่าใครลอกใคร เพราะถ้าจะมาเถียงกันว่าใครเก่งกว่าผมขอนำเสนอด้วยวิดีโอข้าล่างนี้ ก็เป็นอันจบอีกนะครับ 

                                                ดูแล้วอย่าคิดมากหละครับ !
  
Man of Steel  บรุษเหล็กซุปเปอร์แมน  เหมาะกับคนดูทุกประเภทครับไม่ต้องห่วงเลย ไม่รู้จักซุปเปอร์แมนก็ควรดู ถ้าเป็นติ่งซุปเปอร์แมนก็ต้องรีบดูครับ !

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เปิดตัวบล็อกครั้งแรก ของนายกานน !

เปิดตัวบล็อกครั้งแรก ของนายกานน  !


บ่องตง... พอได้ยินว่าอาจารย์จะให้ทำบล็อกนี่โคตรตื่นเต้น  ด้วยความที่ว่าอยากมีมานานแล้วแต่ทำไม่เป็น ณ ตอนนี้ก็สมหวังแล้ว ก็ลองคิดๆอยู่เหมือนกันว่าจะทำเรื่องอะไรดีก็นึกขึ้นได้ว่าตัวผมเองค่อนข้างจะบ้าหนัง(ภาพยนตร์)อยู่เอาเรื่อง  ถึงขนาดที่ว่ากับหนังใช้แค่คำว่า "ดูหนัง" ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว  แต่ต้องใช้คำว่า"เสพหนัง"แทน ซึ่งในบล็อกนี้ผมก็จะนำเสนอเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับภาพยนตร์พร้อมวิจารณ์ในแบบฉบับของผมควบคู่ไปด้วย  คนเรามีรสนิยมในการรับชมภาพยนตร์ต่างกันไปซึ่งผมก็ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นานพอสมควร  ผมสามารถจำแนกประเภทของคนดูหนังได้หลายแบบมากๆ อันนี้จะไว้ตั้งเป็นกระทู้อื่นต่อๆไป    สำหรับคนที่เห็นตัวหนังสือมากเกินไปตาลายไม่อยากอ่านก็ไม่ว่ากันเพราะไม่รู้ว่าจะมีใครหลงเข้ามาอ่านกันบ้าง ที่แน่ๆอาจารย์ต้องเข้ามาตรวจดูความคืบหน้าแน่นอน อิอิๆ