Django Unchained 2012
ผลงานกำกับและเขียนบทเรื่องล่าสุด ของเจ้าพ่อหนัง(บ้าอะไรของมันว่ะเนี่ย) quentin tarantino เควนติน ทาแรนติโน่
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เล่นๆ ก็ตรงที่ว่าตัวหนังคว้าออสการ์ปีนี้(2013) ถึงสองตัวด้วยกัน อันได้แก่บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และดาราสมทบชายยอดเยี่ยม Christoph Waltz (คริสตอฟ วอลท์) ด้วยคอนเซ็ปที่ว่าด้วยทาสผิวดำกลายมาเป็นคาวบอยก็เพิ่มความอยากดูให้ผมแล้ว ยิ่งได้รางวัลอีกมันก็เหมือนมีอะไรไปกระตุ้นว่าหนังมันต้องมีอะไรดีแน่ๆจะรอเข้าไปเบ่งถึงในโรงภาพยนตร์เลย แล้วก็เป็นอีก ครั้งที่เซ็นทรัล สุราษฎร์ ทำผมผิดหวังโดยการเอาโปสเตอร์ขึ้นแต่ไม่ฉาย ! ซะงั้นอะ ก็ไม่เป็นไรผมก็ต้องทำใจว่าโรงหนังต่างจังหวัดก็ต้องฉายหนังฟรอมยักษ์ก่อนเป็นธรรมดา ก็รอครับ จนกระทั่งความอดถึงขีดสุดทำให้ต้องไปหาซาวด์แท็กมาดูเป็น HD ด้วย
รู้สึกผิดที่ไม่รอแบบมาสเตอร์ แต่พอพากย์ไทยออกมาผมก็ยังโหลดมานั่งดูอีกนั่่นแหละ เฮ่อบ้าน้ำมาพอแล้วเข้าเรื่อง ครับ เข้าเรื่อง!
"Django" ตอนแรกผมอ่าน ดีจังโก้ แต่ที่จริงแล้วแค่จังโก้ครับ เป็นงานทั้งดัดแปลงทั้งRemake จากงานต้นฉบับ Django 1966
แต่แน่นอนว่าดัดแปลงด้วยจึงไม่ได้ลอกมาทั้งหมด เอาแค่ว่าจังโก้เป็นนิโกรก็ถือว่าดัดแปลงมากๆแล้ว
เวอร์ชั่น1966ผมก็ยังไม่ได้ดูแต่เจอลิงค์แล้วจะหาเวลาลองโหลดมาเสพ
โดยเปิดเรื่องมาขบวนค้าทาสผิวดำของสองพี่น้องพ่อค้าทาสกำลังสัญจรอยู่ดีๆก็มีชายแปลกหน้าเรียกตัวเองว่า "ด็อกเตอร์ ซู๊ต" รับบทโดย คริสตอฟ วอลท์ เข้ามาถามหาทาสที่ชื่อว่า "จังโก้" รับบทโดย เจมมี ฟ็อกซ์ พร้อมเสนอราคา แต่สองพี่น้องนักค้าทาสไม่ขายจึงเกิดเหตุเลือดตกยางออกกันบ้างเล็กน้อย(ตาย1บาดเจ็บ1)
ซึ่งภายหลัง ด็อกเตอร์ ซู๊ต เปิดเผยตัวเองว่าเป็น นักล่าค่าหัว ต้องตามล่าสามพี่น้องตระกลูบีทเทริล์ แต่โดยที่ตนไม่รู้หน้าตาที่แท้จริงของพวกบีทเทริล์ จึงต้องอาศัยจังโก้ซึ่งจดจำหน้าตาสามพี่น้องนั่น
ในฐานะผู้ทรมานตนและภรรยาได้เป็นอย่างดีเพื่อออกตามล่า โดยด็อกเตอร์ ซู๊ต สัญญาว่าจะปล่อยจังโก้ให้เป็นอิสระเมื่อเสร็จงานแล้ว
ฟาดไม่ยั้ง ! |
จังโก้ยอมตกลงตามเงื่อนไข เมื่องานกำจัดสามพี่น้องบีทเทริล์เสร็จสิ้น ด็อกเตอร์ ซู๊ต มองเห็นศักยาภาพในการเป็นนักล่าค่าหัวของจังโก้จึงเสนองานให้
แต่จังโก้มีความมุ่งมั่นที่จะตามภรรยา หมอชู๊ตเลยยื่นข้อเสนอครั้งสุดท้ายว่าถ้าหากจังโก้ช่วยเขาล่าไปจนหมดฤดูหนาวตนจะช่วยจังโก้ตามหาภรรยาให้เขาด้วย(หมอใจอย่างหล่ออ่ะ) หมดฤดูหนาวแน่นอนทั้งสองสืบจนรู้ว่าภรรยาจังโก้อยู่กับใครและที่ไหน"ปฎิบัติการเอาเมียกูคืนมา"จึงอุบัติขึ้น จะช่วยได้หรือไม่ ? ไปหาดูกันเอาเองครับ !
การนำเสนอเรื่องราวมาในแบบของ เควนติน ทาแรติโน่ ที่มักจะใช้องค์ประกอบต่างที่ยังคงความคลาสสิคขณะเดียวกันก็ยังร่วมสมัย โดยหนังเรื่องนี้ถ่ายทำด้วยกล้องฟิลม์ไม่ใช้ดิจตอล สเปเชี่ยลเอฟเฟ็กในหนังจัดสดเลือดเนื้อพลาสติดยางลาเท็ก ไม่ใช้ คอมพิวเตอร์CGแต่อย่างใด บทพูดการโต้ตอบกันของตัวละครฉะฉาน แม้จะพูดนอกเรื่องทำคนดูงงๆแล้วค่อยกลับเข้าเรื่องเดิมนี่ก็เป็นอีกสไตล์ที่พบบ่อยในหนังของ เควนติน งานดนตรี ตอนเปิดเรื่องมาก็ใช้เพลงธีมจากหนัง จังโก้ ปี1966กันเลยทีเดียวจะคลาสสิคไปไหน
แต่มากลางเรื่องก็จะมีดนตรีสไตล์หนังคาวบอยตะวันตกแทรกมากับเพลงแร็ฟฮิปฮ็อปเป็นช่วงๆ มันดูขัดกันแต่ลงตัวแปลกๆ พล็อตเรื่องของหนังก็พอจะเดาทางได้ไม่ยาก หักมุมมีไหม ? มีครับ แต่ที่เน้นหนักเห็นจะเป็นฉากความรุนแรงที่ใส่มาแทบจะทั้งเรื่องอาจดูเนียนบ้างไม่เนียนบ้างแต่มันก็ดูโหดร้ายจนน่ากลัวครับไม่แนะนำให้เด็กขวัญอ่อนดู
ดาราในเรื่องจัดเต็มสุดๆครับ ระดับแถวหน้าทั้งนั้น Jamie Foxx เจมมี่ ฟ็อกซ์ ในบท จังโก้ ช่วงแรกอาจจะดูเผินๆว่าเขาเป็นคนซื่อๆแต่จริงแล้วมันร้ายครับไอ้นี่ร้ายในที่นี้หมายถึงเก่งฉลาดมีความสามารถแต่ข้อที่สำคัญแล้วผมชอบมากคือแกรักเมียแกมะว๊ากๆเลยครับ เมื่อเป็นอิสระแล้วก็ต้องเรียบตามหาทันทีเลย
แต่ตัวละครตัวนี้มีความไม่สมเหตุสมผลตรงที่ว่าตอนแรกมันก็ดูเหมือนคนธรรมดานี่แหละครับแต่พอได้จับปืนเท่านั้นพี่ท่านเทพไม่เผื่อแผ่ใครจริงๆ
เปรี๊ยง ! |
แม่นไหมเฮีย ? |
ด้านคุณเมียของพี่จังโก้ เธอชื่อ บลูมฮิวด้า รับบทโดย Kerry Washington เคอรี่ วอชิงตั้น
เธอคนนี้มาพร้อมกับลอยยิ้มละไมครับเพราะบทพูดของเธอในหนังเรียกได้ว่าน้อยมากๆแต่การแสดงของเธอสื่อออกมาทางภาษากายครับ ไม่ว่าจะตอนกลัวหวาดผวา ร้องไห้
เธอตีบทแตกจริงๆ ยิ่งเอานิ้วอุดหูตอนท้ายนี้น่ารักแบบแปลกๆครับชอบท่าเธอมาก แต่บทพูดเธอมันน้อยจริงๆนะครับไม่เชื่อไปนั่งนับดูว่าเธอพูดกี่ประโยค
ท่าเธออิ๊บบิ๊วมว๊าก |
ที่จะขาดไปไม่ได้เลยคือ หมอซู๊ต นักล่าฆ่าหัว ครับ Christoph Waltz (คริสตอฟ วอลท์) เป็นตัวละครที่ผมชอบที่สุดในเรื่องเลยก็ว่าได้ด้วยท่าทางยี่ยวนกวนบาทากับความน่ารักในรอยยิ้ม ผมให้พี่แกสามผ่าน ! บทแกเป็นทั้ง เจ้านาย เพื่อน คู่หูพี่ชาย พ่อ และ อาจารย์ของจังโก้เลยก็ว่าได้
เขาฝึกจังโก้ให้เป็นนักล่าฆ่าหัวมีอาชีพได้อย่างสมบรูณ์แบบในทีแรกผมคิดว่าเขาจะหลอกหาประโยชน์จากจังโก้(ยังไม่น่าไว้ใจ)เพราะก่อนหน้านี่ผมเห็นแต่ป๋า วอลท์ เล่นแต่บทผู้ร้ายมาแล้วทั้งนั้นเรื่องนี้แก ลบคลาบตัวร้ายตัวโกงออกไปได้อย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว เขาเป็นห่วงจังโก้ว่าหลังจากสิ้นสุดงานกับเขาแล้วจะไปตามหาบลูมฮิวด้าก็กลัวว่าจะถูกจับไปขายเป็นทาสอีกพี่แกเลยอาสาช่วยอย่างเต็มที่ทั้งวางแผนการ คอยสนับสนุนจังโก้ในเรื่องต่างๆรวมทั้งเรื่องเงินๆทองๆด้วย พี่แกคงประทับใจตั้งแต่ตอนที่จังโก้บอกว่าจะไปตามหาเมียแล้วล่ะครับ ผมเห็นได้จากแววตาเลยว่าหมอ ซู๊ตอยากให้พวกเขาสองผัวเมียอยู่ด้วยกัน ผมจึงไม่แปลกใจเลยที่แกได้ออสการ์สาขาดาราชายสมทบไม่มีข้อกังขาครับ
และผมก็มัวแต่ชมหมอชู๊ตลอยหน้าลอยตาเกินไป จนลืมอีกสองตัวละครสำคัญที่สร้างสีสันให้หนังไปเลย นั้นคือตัวร้ายของเรื่องครับ
คาร์วิน แคนดี้ เพลย์บอยหนุ่ม เจ้าของไร่แคนดี้แลนด์ รับบทโดย Leonardo dicaprio (ลีโอนาโด ดีคาปริโอ้) ขวัญใจสาวๆเมื่อนานมาแล้ว(ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่แต่ว่าสาวแก่นะ อิๆ) ลืมไอ่แจ็คที่จมไปกับเรือไททานิคไปได้เลยครับพี่แกในเรื่องนี้ไม่เหลือความเป็นพระเอกให้เห็นอีกแล้ว เรื่องนี้แกร้ายแบบเต็มหมดเต็มหน่วยครับถึงขั้นโรคจิตเลยก็ว่าได้ ด้วยบุคคลิกของแคนดี้ที่เหมือนเด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างเอาแต่ใจพอโตไปเขามีอิทธิพลทำอะไรได้อย่างใจต้องการแต่ในเมื่อพวกจังโก้จะชิงของที่เป็นของเขา(เมียจังโก้ตกเป็นทาสในเรือนเบี้ยครับ)มีหรือที่เด็กเอาแต่ใจคนนี้จะยอม กิจกรรมที่แคนดี้โปรดปรานเรียกว่า "มวยแมนดิงโก้" คือการให้ทาสผิวดำมาสู้กันจนตายไปข้างนึงครับ ดูพี่แกเล่นสิคำว่ามนุษยธรรมอาจจะไม่มีในมนุษย์ผู้นี้เลยก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ร้ายที่สุดในเรื่องนะครับ
สตีเฟ่น หัวหน้าพ่อบ้านของ คาร์วิน รับบทโดย Samuel L. Jackson (แซมมวลแอล แจ็คสัน) หลายคนอาจจะคุ้นชินกับแกในบทพระเอกหรือผู้ช่วยหรือหัวหน้าพระเอก อย่างที่ลุงแกเป็น นิค ฟิวรี่ในดิอเวนเจอร์แล้วละก็ ผิดถนัดครับเรื่องนี้ !
เริ่มจากแปลงโฉมซะจนเห็นแว๊บแรกก็อาจจะงงว่าใช่แกแน่หรอ ? เพราะในเรื่องนี้แกดูตัวหนาขึ้นมากครับเป็นลุงแก่ๆอ้วนๆคนนึงแต่อย่างเพิ่งตัดสินที่ภายนอกครับลุงแกนี่แหละเรียกได้ว่าเป็นกุนซือของคาร์วินครับ มีแผนการ เจ้าเล่ห์ เหลี่ยมจัดสุดๆ การพูดจาโวกเวกโวยวายทำตัวเจ้ากี้เจ้าการ ได้อย่างน่ารักมากครับแต่พอดูไปได้สักพักหางลุงแกจะหางโผล่ครับ เป็นอีกงานแสดงนึงของ ลุงแซมที่ถูกใจผมมาก เล่นได้เข้าขากับลีโอสุดๆ แจ๋วยังไงต้องลองเบิ่งครับ
และในช่วงกลางเรื่องจะมีอยู่ฉากนึงที่ได้มีการอันเชิญ จังโก้จากปี 1966 Franco Nero (ฟรานโก้ เนโร) มาพบกันกับจังโก้ในปี 2012 ครับในบทสมทบเล็กๆที่ถ้านักเสพหนังรุ่นพ่อเห็นเข้าก็จะอมยิ้มกันถ้วนหน้าครับ เพราะแกจะหันมาถามจังโก้ว่า "นายชื่ออะไร" จังโก้ก็ตอบ "จังโก้" ลุงแกก็ต่อครับ "สะกดเป็นไหม?" จังโก้สวนกลับทันทีครับ "D-J-A-N-G-O ไม่ออกเสียงตัวD " แกก็ตอบมาว่าเออกูรู้นั่นแหละครับเป็นการคารวะหนังต้นฉบับอย่างน่ารักมากๆเลยครับ ทำให้อยากดู จังโก้1966 ขึ้นมาในทันใด !
จังโก้สะกดยังไง ? |
เออ.. เอ็งเก่ง |
เหตุการณ์ในหนังเป็นในช่วงก่อนที่จะมีการเลิกทาสในอเมริกานะครับ โดยหนังจะนำเสนอภาพการถูกกดขี่ที่ของทาส ได้รับการดูถูกเหยียดยาม การเหยียดผิวมองว่าคนดำไม่ใช่คน จะว่าหนังเรื่องนี้อวยคนดำไหมก็ค่อนข้างครับเพราะหากคิดตามหลักความเป็นจริง จะต่างสี ต่างวรรณะ ต่างภาษา ต่างศาสนา มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ครับ เราควรจะช่วยเหลือเกลื้อกูลกันในฐานะเพื่อนร่วมโลกครับ (แบบที่ หมอ ซู๊ตวางตัวในเรื่อง แกพูดว่าแกทำให้จังโก้เป็น ไท ซึ้งแกไม่เคยทำให้อิสระภาพแก่ใครมาก่อนมันจึงเป็นความรับผิดชอบของแกที่จะต้องช่วยจังโก้ครับ ใจโคตรหล่อเลยหมอ)
ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวกแบ่งฝ่าย การเหยียดผิวอาจดูเหมือนว่าหายไปจากสังคมแล้วแต่มันก็ยังมีนะครับ กลุ่มบางกลุ่มที่มองคนดำเป็นปีศาจหรือพวกนอกรีต อย่าง(ครูครักแคน) แม้แต่ในสังคมปัจจุบันเองก็ตามครับที่เด็กๆมันจะถูกปลูกฝังว่าตัวเองดำแล้วจะไม่สวยก็ดิ้นรนให้ตัวเองขาวจะได้สวยขึ้นด้วยยาและผลิตภัณฑ์ต่าง การทับถมกันเรื่องความขาว ความดำ มันเป็นอะไรที่ไร้สาระสิ้นดีครับ แต่ทำไงได้ครับในเมื่อสังคมมาซะอย่างนี้แล้วเราจะเปลี่ยนอะไรได้ตัวเรามันก็แค่คนตัวเล็กครับไม่มีอำนาจพอที่จะไปเปลี่ยนแปลงหรือบงการสังคมให้ไปในทิศทางที่ตนต้องการ พล่ามมามากแล้วสรุปครับ จังโก้ เป็นหนังที่อาจไม่ถูกปากคอหนังแอ็กชั่น แต่จะเหมาะกับคนที่เสพหนังที่ตัวบทซะมากกว่ามันแฝงปรัชญาบางอย่างไว้เยอะแยะครับอยู่ที่ว่าคุณดูแล้วจะเก็บเกี่ยวอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ยิ่งถ้าคุณเป็นแฟนหนังเควนตินแล้วละก็นะ มันหวานหมูคุณเลยล่ะครับ
คะแนนผมให้ 8.5/10
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น