วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

About Time ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง)รัก

About Time ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง)รัก



ผมชอบอ่านนิตยสารหนัง ใช่ครับถึงแม้ว่าทุกวันนี้ข่าวสารในวงการบันเทิงจะอัพเดต 24 ชั่วโมงเพียงแค่เปิด Facebook เพจรีวิวและวิจารณ์หนังผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด และ ยังเว็บบล็อกต่างๆ

นาๆที่โผล่เรื่อยๆ ทำเอาข่าวสารในนิตยสารหนังรายปักตามแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว นิตยสารที่ผมอ่านก็คือ Entertain ถามว่าทำไมน่ะหรอ ? ง่ายๆเลยก็ราคามันถูกกว่าเล่มอื่นนี่ครับ 30 

บาทเองรู้ตัวอีกทีก็มีเต็มบ้านตามอ่านมันมาสามปีแล้วนี่ไม่ได้จะโฆษณานะแค่เท้าความให้ฟังกันยาวๆ  พอได้อ่าน อตท. (ย่อมาจากเอนเตอร์เทน) มันทำให้ผมเริ่มสนใจหนังนอกกระแสมากยิ่ง

ขึ้น(หนังที่ไม่ค่อยฉายตามโรงต่างจังหวัด) และยังอุดมไปด้วย บทความของ "columnist" ที่เขียนกันได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน เพราะ อตท. นี่แหละครับทำให้ผมสะดุดตากับหนังเรื่องนี้ About 

Time ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง)รัก

ทิม (Domhnall Gleeson) หนุ่มร่างเล็กหัวส้มเกินไป ใช้ชีวิตอย่างจำเจกับครอบครัวที่แสนน่ารักของเขา จนกระทั่งเจ้าคุณพ่อ (Bill Nighy)เดินเข้ามาบอกทิมว่า "ทิมเอ๊ย ผู้ชายบ้านเราย้อนเวลาได้ลูก"  โดยจะย้ิอนเวลาได้โดยการหลับตานึกถึงสถานที่และยืนในที่มืด ย้อนกลับไปได้แค่ในช่วงความทรงจำของตนเองเท่านั้น เหมือนหนัง Butterfly Effect นั่นแหละ  หลัง

จากนั่นทิมก็เรียนจบจำต้องลาจรจากครอบครัว เพื่อไปล่าฝันที่กรุงลอนดอนที่นั่นเขาได้พบกับ แมรี่ (Rachel McAdams) ซึ่งชื่อเหมือนแม่เขา แล้วเขาก็อยากได้เธอมาเป็นแม่ของลูกด้วย ได้ฤกษ์แล้วที่หนุ่มทิมจะต้อง ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง)รัก เหมือนชื่อภาษาไทยของหนังเรื่องนี้  



-  ถ้าย้อนเวลาได้ ? คุณจะ...   เชื่อครับว่าหลายคนคงเคยนึกเสียดายเวลาที่ผ่านไปแล้วก็อยากจะกลับไปแก่ไขมัน เอ๊ะ ทำไมเราถึงเลือกอย่างนั่น ? เอ๊ะทำไมตอนนั้นเราถึงทำแบบนี้ ?  ทิมใช้พลังของตัวเองเพื่อเอาชนะใจสาว และคนรอบข้าง ทุกครั้งที่เขาพูดหรือทำอะไรก็ตามพลาดไปทิมจะ"โทษครับขอตัวสักครู่"แล้วก็"มุดตู้"กลับไปแก้นู้นแก้นี่อยู่เรื่อยๆ แต่ในชีวิตจริงเราทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับถามว่าพลาดแล้วมันเป็นอะไรไหม? เราได้อะไรจากมันบ้าง? แน่ครับว่าเราได้"บทเรียน"ที่จะช่วยตอกย้ำเราในวันข้างหน้าไม่ให้เราพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง  การย้อนเวลาแบบทิมนั้นก็ไม่ต่างจากการหนีปัญหานั่นเองครับ ผมเชื่อว่าในหนึ่งวันของชีวิตคนเราเนี่ยมันจะมีหลายอารมณ์เข้ามาด้วยกัน ทุกข์ สุข โกรธ เศร้า เหงา ในห้าอย่างที่พูดมามีอยู่อย่างนึงครับที่ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆเพียงเสี้ยวเดียวของวันนั้นทั้งวัน นั่นก็คือ"ความสุข" เพียงแต่เรารู้สึกถึงมันได้ รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของมันเราก็อาจจะฟินไปทั้งวัน พูดมันง่ายครับแต่ทำสิยาก ทิมหนีปัญหาด้วยการย้อนเวลา จนทำให้เขาขาดการเผชิญหน้ากับปัญหา(ผมเองก็ไม่ชอบเหมือนทิมนั่นแหละ)  จนช่วงนึงของหนังพ่อทิมก็ได้สอนวิธีการใช้พลังย้อนเวลา"ขั้นสุดยอด"ให้กับเขา นั่นก็คือ การ
ย้อนกลับเริ่มวันเดิมที่เพิ่งจะผ่านมา ไม่ว่าวันนั้นจะแย่สักปานใดขอแค่กลับไปแล้วอย่าเปลี่ยนอะไรขอแค่กลับไป"ซึมซับ"ไป"มองดูชีวิต" ทบทวนมัน ทำความเข้าใจมัน เราก็จะพบว่ามีแง่มุมที่ต่างออกไปมีอะไรใหม่ๆให้ค้นหาแม้ว่าจะเป็นวันที่เราเพิ่งจะผ่านมา เหมือนกับเราดูหนังสักเรื่องนึงครับ ดูรอบแรกสนุก ดูรอบสองได้ความรู้   ดูรอบสามประทับใจ หนังเรื่องเดียวกันแต่ไม่ว่าเราจะหยิบมันขึ้นมาดูอีกกี่รอบมันก็คุ้มเกินคุ้มครับ หัวใจหลักเรื่องการ"ย้อนเวลา"ของหนังเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าย้อนเพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆให้เป็นดั่งใจเราต้องการ แต่ย้อนเวลาเพื่อใช้เวลาอย่างคุ้มค่าทำให้ทุกวันเป็นวันพิเศษเมื่อเรากลับมาไม่ว่าจากที่ทำงานหรือโรงเรียน  คนที่บ้านก็จะถาม "วันนี้เป็นไงบ้าง ?" ก็สุดแล้วแต่ตัวเรานี่แหละครับที่จะตอบกลับไปว่าอย่างไร ?     หนังแฝงคติธรรมหลายอย่างครับ ที่กล่าวไปข้างต้นคือความคุ้มค่าของชีวิตมนุษย์เราในหนึ่งวัน แต่อีกเรื่องนึงที่เห็นจะข้ามไปไม่ได้ก็คือ การเกิดแก่เจ็บตาย สิ่งเป็นเป็นของคู่กับคนเราเหมือนไข่ดาวกับแม็กกี้ยังไงงั้นผมไม่ขอสปอยว่า การสูญเสียในหนังเกิดขึ้นกับใครในเรื่อง แต่หนังสื่อสารออกมาด้วยความหมายที่ล้ำลึกและกินใจอย่างไม่น่าเชื่อสรุปเป็นถ้อยคำโดยคนกากๆอย่างผมได้ว่า

 "คนที่คุณรัก ไม่ว่าเขาจะจากไปไหน? ความทรงจำของเราจะยังคงจารึกเขาผู้นั้นแน่นหนึบอยู่ในใจเราตลอดไป"




ไม่ง่ายเลยนะที่จะเจอหนังที่ทำให้เรา"ตกหลุมรัก"ได้อีกสักเรื่องนึง    About time เป็นมากกว่าหนังรักครับมันคือหนัง"ครอบครัว"  จากตัวอย่างที่ปล่อยออกมามันทำให้ผมทึกทักเอาเองว่ามันเป็นหนังรักวัยรุ่นธรรมดาๆที่มาพร้อมกับ"อภินิหาร" แต่มัน"เหนือ"ชั้นกว่านั้นครับ มันค่อยๆสร้างความผูกพันธ์กับผู้ชมแล้วลอกคราบจากหนังรักไปสู่หนังครอบครัวได้อย่างแนบเนียน งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้ทั้งผู้กำกับ/เขียนบทอย่าง Richard Curtis (งานเก่าๆเช่น Bean (1997) มูฟวี่/ Notting Hill (1999) /Love Actually (2003)   ที่สามารถนำพล็อตเก่าๆอย่างเรื่องการย้อนเวลาตามหารักมาเล่าใหม่พร้อมสับขาหลอกคนดูได้อย่างแนบเนียนในตอนท้ายเรื่อง  จากที่เขียนมาถามว่าหนังมีจุดด้อยอะไรบ้างหรือไม่ ? เพราะเห็นร่ายมาแต่จุดเด่นมีครับมีแต่ผมไม่ขอพูดละกัน ผมหวังอยู่ลึกๆนะ ว่าถ้าใครอ่านที่ผมพล่ามมาได้จนจบเนี่ยคงจะเข้าใจกับคะแนนที่ผมจะให้  About time ไม่เหมาะกับคนดูหนังแนวนี้ไม่เป็นด้วยประการทั้งปวงครับ

คุณๆคนที่รัก ถ้าคุณสนุกกับหนัง รักอลังการวัยรุ่น สเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็กตระการตาดาวล้านดวง จัดไปครับ ทไวท์ไลท์ มาราธอน สักรอบ แต่คุณมองหางานรอมคอมที่อุดมไปด้วยสาระพร้อมแง่มุมใหม่

ที่หนังมีมาเสริฟ์ให้แก่ชีวิตคุณแล้วละก็ About time นี่ละครับจะทำให้คุณยิ้มไม่หุบจนหนังจบเลยทีเดียว ( ไม่ได้ค่าโฆษณา ! )


10/10

เยี่ยมชมและติดตามข่าวสารหนังจากคนกากๆได้ที่เพจ "กากหนัง"  

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

Pawn Shop Chronicles (2013) ปล้น วาย ป่วง

Pawn Shop Chronicles (2013) ปล้น วาย ป่วง ให้เสียงภาษาไทยโดย "พันธมิตร"



"Pawn Shop"แปลเป็นไทยว่าโรง"จำนำ"   "Chronicles" แปล "บันทึก"หรือจดหมายเหตุก็ได้ แต่ถ้าหนังจะมีชื่อไทยว่า "เรื่องเล่าจากโรงจำนำ" มันก็คนจะดูจืดชืดเกินไป หนังเลยได้ชื่อว่า "ปล้น วาย ป่วง " แต่หนังก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษกับเรื่องปล้นๆนะครับ เพราะ หนังเล่าเหตุการณ์ 3เรื่องภายใน1วัน ทุกเรื่องจะเชื่อมโยงกันหมดและเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่โรงรับจำนำแห่งหนึ่ง     
      


เรื่องแรกเป็นเรื่องของวัยรุ่น(แต่ดารา40ต้นๆแล้ว) 3 คนที่เมายา และพยายามจะปล้นยา(เอากับมันสิ)จากเพื่อนที่เป็นพ่อค้ายา ติดอยู่ที่ว่าพวกเขาไม่มี"ปืน" แล้วเพื่อนคนนึงในกลุ่มก็เพิ่งจะเอาปืนลูกซองที่มีอยู่กระบอกเดียวไป"จำนำ"มาซะด้วยสิเวรแท้ๆ
     

 เรื่องที่สอง คู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันที่กำลังจะไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ต้องแวะที่ "โรงจำนำ"เพื่อจำนำแหวนแต่งงานเอาเงินสักก้อนไปเที่ยว แต่คุณสามี ริชชาร์ด ก็ไปสะดุดตาเข้ากับ"แหวน"วงนึงในร้านที่เขาจำมันได้ว่าสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษให้กับภรรยาคนแรกที่หายตัวไปอย่างลึกลับ นั่นทำให้เขาคิดจะสืบราวเรื่องไปถึงคนที่พากภรรยาจากเขาไป จนพบกับเรื่องราวที่คุณเองก็จะคาดไม่ถึง
    


          เรื่องสุดท้าย ริคกี้ หนุ่มอาสาสมัครกู้ภัยที่รักราชาเพลงร็อค "Elvis Presley" เป็นชีวิตจิตใจ จนจุดประกายให้เขาเดิมตามเส้นทางแห่งราชา คือเป็นนักร้องก็อปปี้โชว์เอลวิส แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้นแถมยังถังแตกต้องเอาสร้อยทองเอลวิสของแท้ไป"จำนำ"อีก จนเขาพบเข้ากับ"ชายชุดขาว"ที่ทาง"สี่แพร่ง"ที่ยื่นข้อเสนอสุดแสนยั่วยวนให้กับเขา "ความรุ่งโรจน์"แลกกับ"วิญญาณ"
      


 สามเกลอจะเอาอะไรไปปล้นเพื่อน?  คุณริชชาร์ดจะไปเจอกับอะไรที่ปลายทางของการตามล่าหาความจริง?   ริคกี้จะตัดสินใจเช่นไรกับข้อเสนอ ? ติดตามได้ใน   Pawn Shop Chronicles (2013) ปล้น วาย ป่วง ให้เสียงภาษาไทยโดย "พันธมิตร" 


ต้องขอบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้อินดี้เอามากๆ สไตล์การเล่าเรื่องและตัดต่อทำให้นึกถึงหนังอย่าง pulp fiction ของท่านเควตินยังไงยังงั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันแต่นำมาเรียงแล้วเล่าใหม่โดยที่เราจะเห็นตัวละครบางตัวจากอีกเรื่องโผล่มาเจอะกันก่อนจะดำเนินเข้าสู่เรื่องของตัวเอง  พร้อมด้วยคำพูดเสียดสีสังคม เอาความจริงมาพูดกันซึ่งๆหน้าแบบไม่เกรงใจผู้ใดจัดหนักกันที20+ แถมพันธมิตรช่วยความฮาในแบบที่คนบ้านๆอย่างเราๆก็น่าจะฮาได้ไม่ยาก(ผมนี่ท้องแข็ง)   ทุกบทพูดของตัวละครถ้าตั้งใจฟังและเก็บรายละเอียดดีๆเราจะพบว่าทุกอย่างมันเชื่อมโยงถึงกันจริงๆ 

ถึงโปสเตอร์จะหลอกคนดูว่ามันเป็นหนังแอ็คชั่นแต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ครับจะเรียกว่ายังไงดี สำหรับคนที่ไม่เคยดู
 pulp fiction  ผมก็ขอบอกคุณว่ามันก็เหมือนกับหนังเรื่อง "สามย่าน" นะแหละถ้าคุณชอบ  pulp fiction หรือ สามย่าน คุณก็สนุกกับเรื่องนี้ได้เหมือนกันครับ   

ดารานี่จัดเต็มครับ ที่จะของกล่าวถึง ณ ตรงนี้เด่นๆก็ Paul Walker ในบท Raw Dog ที่ออกแนวซื่อบื้อไม่ทันคน พูดอะไรออกมาแต่ละอย่างนี้มีสาระแต่ก็ไม่เข้าใจสาระที่ตัวมันเองพูดขึ้นมาเอง   Brendan Fraser ทิ้งคราบนักล่ามัมมี้มาเป็นเอลวิสตกอับแทนก็เล่นได้กวนTeenเอามากๆ หุ่นเหิ่นแกสมัยก่อนตอนเป็น"จอร์ทเจ้าป่า"นี่ไม่เหลือแล้วครับ"พุงเพรียวๆ"  Elijah Wood พ่อโฟรโด้ของเราทำให้หมดความเอ็นดูหน้าตาอันอ่อนเยาว์ของเขากับหนังรื่องนี้เลยทีเดียวไม่ต่างอะไรกับที่เขาทำไว้ใน"SinCity" ภาคแรก" และ "Norman Reedus" ของสาวๆอีก  ซึ่งรายหลังที่ถือว่าทำให้ผมผิดหวังอย่างแรงเลยไม่โชว์หน้า(ใส่หน้ากาก)แถมใส่กางเกงในตัวเดียวเล่นทั้งเรื่องอีก 

สิ่งที่หนังต้องการจะสื่อมันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับ ถ้าพูดกันเป็นเรื่องๆไป ตอนแรกนี่คงต้องการจะพูดถึงโทษของยาเสพติด  ตอนที่สองก็การเลิกจมอยู่กับอดีตแล้วมีความสุขอยู่กับปัจจุบันเพราะเราอาจจะต้องวนเวียนอยู่กับความทุกข์ที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น ส่วนในตอนสุดท้ายก็แสดงให้เราเห็นว่าคนเราเมื่อถึงจุดๆนึงที่เราท้อแท้และสิ้นหวังยอมจำนนต่อ"กิเลส"เราก็อาจจะเรียกร้องหา"ปาฏิหาริย์"หรือไม่ก็อาจยอมขาย"วิญาณ" เหตุการณ์สามเรื่องนี้ล้วนมาจาก"สิ่งของ"ใน"โรงรับจำนำ"ทั้งสิ้น สิ่งของทุกชิ้นมันมีที่มาที่ไปผ่านมือใครต่อใครมาหลายคนแล้วยิ่งในโรงรับจำนำอีกถ้าหากหยิบของ อะไรก็ได้ขึ้นมาสักชิ้นมันก็จะมีเรื่องราวและประวัติสาสตร์พ่วงท้ายมาด้วยเสมอนั่นล่ะครับ  อยู่ที่ว่าเราจะหยิบเอาอะไรขึ้นมาเล่า

-Pawn Shop Chronicles เป็นอีกหนึ่งผลงานเรื่องท้ายๆของดาราแอ็คชั่นผู้ล่วงลับ Paul Walker  ถ้าใครคิดถึงเขาก็ลองไปหามาดูกันครับ แต่ถ้าเป็นติ่งๆวอคกิ้งเดธที่หยิบมาดูเพราะมีนอร์แมนอยู่บนหน้าปกก็ของแสดงความเสียใจมา ณ จุดๆนี้ด้วยครับ   ตลก ดราม่า และ รุนแรง ในระดับที่ว่าผมไม่แนะนำเด็กที่อายุต่ำกว่า10ขวบดูจะดูก็ควรมีผู้ปกครองคอยให้คำแนะนำด้วยไม่งั้นลูกคุณอาจจะนอนฝันร้ายได้
                                                         7/10

วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

Rush 2013 อัดเต็มสปีด

Rush  อัดเต็มสปีด 





ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง ของสองนักแข่งF1แชมป์โลก2คนชื่อดังจากยุค70   นิกิ เลา

ด้า(Daniel Br?hl) และ เจมส์ ฮันท์ (Chris Hemsworth)  ที่ขับเคี่ยวกันมาอย่างไม่มี

ใครยอมใครในการแข่ง Grand prix จนกระทั่งเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับ นิกิ ในการแข่ง 

Grand prix ที่ เนอร์เบิร์กกริง ซึ่งเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนทัศนคติของทั้งสองในฐานะศัตรูไปตลอด

กาล


ประเด็นหลักของหนังที่ต้องการนำเสนอก็คือ การหวนคืนสู่สนามอีกครั้งของนิกิ หลังจากประสบ

อุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล แต่ถ้าหนังเล่าเรื่องเจาะจงไปที่นิกิ

เพียงฝ่ายเดียวมันจะไม่ทำให้เราได้เห็นพัฒนาการของตัวละครตัวนี้อย่างลึกซึ้งพอ และมันก็จะ

เหมือนหนังสารคดีธรรมดาๆเล่าเรื่องของชายคนนึงที่พลาดครั้งใหญ่และกลับมาผงาดอีกครั้ง(ซึ่งมี
มาเยอะแล้ว) ดังนั้นหนังจึงเล่าตัดสลับไปกับการเล่าเรื่องชีวิตของเจมส์ การเจอกันของทั้งสอง 

การได้ปะทะคารมกัน ทำให้พวกเขาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เหมือนดังประโยคที่ว่






 "เลิกคิดว่าการมี

ศัตรูในชีวิตคือคำสาปเถอะ มันอาจเป็นของขวัญ คนฉลาดตักตวงจากศัตรูได้มากกว่า คนโง่ได้

จากสหาย" 

 เด็กหนุ่มสองคนที่เริ่มรู้จักกันด้วยการเป็น"ศัตรู"สู่ "มิตร" แท้ เราจะได้เห็นมิตรภาพ

ของลูกผู้ชายสองคนที่มีความต่างขั้วกันอย่างที่สุดขับเคี่ยวกัน จนพวกเขาเติบโตไปด้วยกันและได้ 

เรียนรู้ความหมายของชีวิต 


เจสม์เป็นตัวแทนของความท้าทาย ไร้จุดหมาย ไร้แบบแผน ใช้ชีวิตเหมือนทุกวันเป็นวันสุดท้าย  

 นิกิเป็นตัวแทนของกฎระเบียบ และ วินัย  ทุกอย่างสำหรับเขามีความ"เสี่ยง"เขาไม่เคยประมาท   

 จากที่ว่ามา นิกกิมีความรอบคอบแลดูเพียบพร้อมเฟอร์เฟ็คกว่าเจมส์ก็จริง"แต่"เขามีบางอย่างที่

เขาทำแบบเจมส์ไม่ได้ ก็คือการเอาใจและเข้าถึงผู้คน ทำให้ตนเองเป็นที่ชื่นชอบ แคร์ความรู้สึก

คนรอบข้างอะไรแบบนั้น เพราะนิกกิมันขวานผ่าซากตรงเกินไปไม่มีหย่อนตั้งการ์ดกับคนรอบตัว

ต้องการให้คนยำเกรง แต่เขาก็ไม่ได้ผิดครับเพราะนี่แหละคือ"สัญชาตญาณ" การเอาตัวรอดที่ควร

พึงมี  เจมส์"หย่อน"เกินไป  นิกิ"ตึง"เกินไป   เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนเด็กในชั้นเรียนก็คือ 

หนุ่มนักกีฬาหน้าตาดี  กับ หนุ่มเนิร์ดคงแก่เรียน ก็ไม่ปาน นั่นทำให้ นิกิ "อิจฉา" เจมส์ใน

เรื่องนี้  แต่ เจมส์ ก็ "อิจฉา"  นิกกิเหมือนกันเพราะนิกกิมีทุกอย่างเพียบพร้อม ทั้งชีวิตรัก หน้าที่

การงาน และความสามารถ พวกเขาต่างผ่ายต่างก็จ้องมองกันด้วยความริษยา และ หมายจะเอา

ชนะให้ได้ จนบางทีก็ลืมมองว่าตัวเองนั้นมีทุกอย่างพร้อมสับ(แค่มีดีกันคนละแบบ)แล้วแต่คิดว่า

มันยังไม่พอ แล้วเมื่อไหร่จะพอล่ะ ?




การที่ได้เห็นเจมส์กับนิกกิในหนังเรื่องนี้แล้ว ผมก็อดตั้งคำถามกับตัวเราเองไม่ได้ว่าเอ๊ะ นี่เราทำ

ตัวเหมือนใครกันแน่หว่า ณ ตอนนี้ ? ผมชอบไลฟ์สไตล์ของนิกินะ แต่การใช้ชีวิตผมมันเริ่มเลย

เถิด และหนักข้อไปทางเจมส์ซะแล้ว สนุกสนานเฮฮาไปวันๆ หาความพอดีในชีวิตไม่ได้เลย เวลา

จะตึงก็ตึงเกิน เวลาจะหย่อนก็หย่อนเกิน ถ้าเพียงแต่เราคลำทางกลับมาหาทางสายกลางได้อีกครั้ง

ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย รู้ว่าเวลาไหนคืองาน เวลาไหนคือเล่น ชีวิตก็คงจะดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 

ชีวิตหน่อชีวิต






นังต่อติดกับผมครับ Rush ถือเป็นหนังที่ดูง่ายแต่ก็ไม่ได้ง่ายซะจนเหลวเป๋ว ผู้กำกับ Ron 

Howard (A Beautiful Mind /Apollo 13 /The Da Vinci Code ) ต้องการนำเสนอ

เรื่องราวของสองนักแข่งออกมาในรูปแบบกึ่งสาระคดี กึ่งดราม่าแอ็คชั่น มีตลกตามสถานการณ์ให้ได้ผ่อน

คลาย ก่อนจะต้องไปรับมือกับการปะทะคารมของสองนักแข่งที่นักหน่วง และ ฉากแข่งรถสุดระทึก

ที่ลุ้นกันขนาดที่ว่านอนดูต้องลุกขึ้นมานั่งดู  ตอนดูคิดว่าหนังคงจะอืดๆดูแล้วง่วงเป็นแน่แต่ไม่ใช่

อย่างที่คิดน่ะครับมัน เข้มข้น ซะจนง่วงๆอยู่นี่ตาสว่างเลยทีเดียว องค์ประกอบในหนังถูกจำลอง

ให้เป็นยุค 70 ได้โอเค แต่บางช่วงก็มีการนำ CGI มาใช่เพื่อเปลี่ยนพื้นหลังของสถานที่เช่น

สนามแข่ง การแข่งรถF1 รวมทั้งฉากไฟคลอก นิกิ เลาด้า ที่ลงทุนไปหาภาพอุบัติเหตุของจริง

จากกล้อง Super8 ของผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่ถ่ายไว้มาจำลองแบบและใช้ CGI สร้างขึ้นใหม่ 

สีสันในหนังดูสวยสดให้อารมณ์หนังยุค70  แต่เสียอย่างนึงที่การเล่าเรื่องในช่วงต้นๆ มันเหมือน

เป็นการเล่าย้อนอดีตของตัว เจมส์ ฮันท์ Over Voice (เสียงตัวเองบรรยาย) ก่อนจะตัดไปเป็น

ของนิกิ บ้าง จนถึงช่วงท้ายของเรื่องเลย เท่ากับว่า หนังเล่าเรื่องจากตัวนิกิมากกกว่า เจมส์ ถึง 

60-40 เลยทีเดียว แต่มันก็เพราะ เจมส์ ฮันท์ เสียชีวิตไปแล้วจากอาการหัวใจวาย ด้วยวัยเพียง 45ปี

เมื่อนานมาแล้ว  ทุกวันนี้จึงเหลือเพียง นิกิ เลาด้า เท่านั้นที่พอจะบอกเล่าเหตุการณ์ได้ นิกิ ได้

รับบทเรียนสำคัญในชีวิต ทำให้เขาได้รู้จักกับศัตรู(มิตรแท้)ที่ทำให้เขาเติบโต    Rush เป็นหนัง

ดราม่ากึ่งสารคดีที่มีฉากวาบหวามบ้างแต่ไม่น่าเกลียดเหมาะจะเป็นหนังที่มีไว้เปิดให้เด็กๆ(โดยมี

ผู้ใหญ่ควบคุมนะ)ดูเพื่อได้เรียนรู้จาก ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตของสองนักแข่ง F1 จากอาฆาตแค้น

แปรเปลี่ยนเป็นมิตรภาพ   เป็นงานปรัชญาที่ดูง่าย และ ลึกซึ้ง
   
   8/10