About Time ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง)รัก
ผมชอบอ่านนิตยสารหนัง ใช่ครับถึงแม้ว่าทุกวันนี้ข่าวสารในวงการบันเทิงจะอัพเดต 24 ชั่วโมงเพียงแค่เปิด Facebook เพจรีวิวและวิจารณ์หนังผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด และ ยังเว็บบล็อกต่างๆ
นาๆที่โผล่เรื่อยๆ ทำเอาข่าวสารในนิตยสารหนังรายปักตามแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว นิตยสารที่ผมอ่านก็คือ Entertain ถามว่าทำไมน่ะหรอ ? ง่ายๆเลยก็ราคามันถูกกว่าเล่มอื่นนี่ครับ 30
บาทเองรู้ตัวอีกทีก็มีเต็มบ้านตามอ่านมันมาสามปีแล้วนี่ไม่ได้จะโฆษณานะแค่เท้าความให้ฟังกันยาวๆ พอได้อ่าน อตท. (ย่อมาจากเอนเตอร์เทน) มันทำให้ผมเริ่มสนใจหนังนอกกระแสมากยิ่ง
ขึ้น(หนังที่ไม่ค่อยฉายตามโรงต่างจังหวัด) และยังอุดมไปด้วย บทความของ "columnist" ที่เขียนกันได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน เพราะ อตท. นี่แหละครับทำให้ผมสะดุดตากับหนังเรื่องนี้ About
Time ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง)รัก
ทิม (Domhnall Gleeson) หนุ่มร่างเล็กหัวส้มเกินไป ใช้ชีวิตอย่างจำเจกับครอบครัวที่แสนน่ารักของเขา จนกระทั่งเจ้าคุณพ่อ (Bill Nighy)เดินเข้ามาบอกทิมว่า "ทิมเอ๊ย ผู้ชายบ้านเราย้อนเวลาได้ลูก" โดยจะย้ิอนเวลาได้โดยการหลับตานึกถึงสถานที่และยืนในที่มืด ย้อนกลับไปได้แค่ในช่วงความทรงจำของตนเองเท่านั้น เหมือนหนัง Butterfly Effect นั่นแหละ หลัง
จากนั่นทิมก็เรียนจบจำต้องลาจรจากครอบครัว เพื่อไปล่าฝันที่กรุงลอนดอนที่นั่นเขาได้พบกับ แมรี่ (Rachel McAdams) ซึ่งชื่อเหมือนแม่เขา แล้วเขาก็อยากได้เธอมาเป็นแม่ของลูกด้วย ได้ฤกษ์แล้วที่หนุ่มทิมจะต้อง ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง)รัก เหมือนชื่อภาษาไทยของหนังเรื่องนี้
- ถ้าย้อนเวลาได้ ? คุณจะ... เชื่อครับว่าหลายคนคงเคยนึกเสียดายเวลาที่ผ่านไปแล้วก็อยากจะกลับไปแก่ไขมัน เอ๊ะ ทำไมเราถึงเลือกอย่างนั่น ? เอ๊ะทำไมตอนนั้นเราถึงทำแบบนี้ ? ทิมใช้พลังของตัวเองเพื่อเอาชนะใจสาว และคนรอบข้าง ทุกครั้งที่เขาพูดหรือทำอะไรก็ตามพลาดไปทิมจะ"โทษครับขอตัวสักครู่"แล้วก็"มุดตู้"กลับไปแก้นู้นแก้นี่อยู่เรื่อยๆ แต่ในชีวิตจริงเราทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับถามว่าพลาดแล้วมันเป็นอะไรไหม? เราได้อะไรจากมันบ้าง? แน่ครับว่าเราได้"บทเรียน"ที่จะช่วยตอกย้ำเราในวันข้างหน้าไม่ให้เราพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง การย้อนเวลาแบบทิมนั้นก็ไม่ต่างจากการหนีปัญหานั่นเองครับ ผมเชื่อว่าในหนึ่งวันของชีวิตคนเราเนี่ยมันจะมีหลายอารมณ์เข้ามาด้วยกัน ทุกข์ สุข โกรธ เศร้า เหงา ในห้าอย่างที่พูดมามีอยู่อย่างนึงครับที่ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆเพียงเสี้ยวเดียวของวันนั้นทั้งวัน นั่นก็คือ"ความสุข" เพียงแต่เรารู้สึกถึงมันได้ รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของมันเราก็อาจจะฟินไปทั้งวัน พูดมันง่ายครับแต่ทำสิยาก ทิมหนีปัญหาด้วยการย้อนเวลา จนทำให้เขาขาดการเผชิญหน้ากับปัญหา(ผมเองก็ไม่ชอบเหมือนทิมนั่นแหละ) จนช่วงนึงของหนังพ่อทิมก็ได้สอนวิธีการใช้พลังย้อนเวลา"ขั้นสุดยอด"ให้กับเขา นั่นก็คือ การ
ย้อนกลับเริ่มวันเดิมที่เพิ่งจะผ่านมา ไม่ว่าวันนั้นจะแย่สักปานใดขอแค่กลับไปแล้วอย่าเปลี่ยนอะไรขอแค่กลับไป"ซึมซับ"ไป"มองดูชีวิต" ทบทวนมัน ทำความเข้าใจมัน เราก็จะพบว่ามีแง่มุมที่ต่างออกไปมีอะไรใหม่ๆให้ค้นหาแม้ว่าจะเป็นวันที่เราเพิ่งจะผ่านมา เหมือนกับเราดูหนังสักเรื่องนึงครับ ดูรอบแรกสนุก ดูรอบสองได้ความรู้ ดูรอบสามประทับใจ หนังเรื่องเดียวกันแต่ไม่ว่าเราจะหยิบมันขึ้นมาดูอีกกี่รอบมันก็คุ้มเกินคุ้มครับ หัวใจหลักเรื่องการ"ย้อนเวลา"ของหนังเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าย้อนเพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆให้เป็นดั่งใจเราต้องการ แต่ย้อนเวลาเพื่อใช้เวลาอย่างคุ้มค่าทำให้ทุกวันเป็นวันพิเศษเมื่อเรากลับมาไม่ว่าจากที่ทำงานหรือโรงเรียน คนที่บ้านก็จะถาม "วันนี้เป็นไงบ้าง ?" ก็สุดแล้วแต่ตัวเรานี่แหละครับที่จะตอบกลับไปว่าอย่างไร ? หนังแฝงคติธรรมหลายอย่างครับ ที่กล่าวไปข้างต้นคือความคุ้มค่าของชีวิตมนุษย์เราในหนึ่งวัน แต่อีกเรื่องนึงที่เห็นจะข้ามไปไม่ได้ก็คือ การเกิดแก่เจ็บตาย สิ่งเป็นเป็นของคู่กับคนเราเหมือนไข่ดาวกับแม็กกี้ยังไงงั้นผมไม่ขอสปอยว่า การสูญเสียในหนังเกิดขึ้นกับใครในเรื่อง แต่หนังสื่อสารออกมาด้วยความหมายที่ล้ำลึกและกินใจอย่างไม่น่าเชื่อสรุปเป็นถ้อยคำโดยคนกากๆอย่างผมได้ว่า
"คนที่คุณรัก ไม่ว่าเขาจะจากไปไหน? ความทรงจำของเราจะยังคงจารึกเขาผู้นั้นแน่นหนึบอยู่ในใจเราตลอดไป"
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเจอหนังที่ทำให้เรา"ตกหลุมรัก"ได้อีกสักเรื่องนึง About time เป็นมากกว่าหนังรักครับมันคือหนัง"ครอบครัว" จากตัวอย่างที่ปล่อยออกมามันทำให้ผมทึกทักเอาเองว่ามันเป็นหนังรักวัยรุ่นธรรมดาๆที่มาพร้อมกับ"อภินิหาร" แต่มัน"เหนือ"ชั้นกว่านั้นครับ มันค่อยๆสร้างความผูกพันธ์กับผู้ชมแล้วลอกคราบจากหนังรักไปสู่หนังครอบครัวได้อย่างแนบเนียน งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้ทั้งผู้กำกับ/เขียนบทอย่าง Richard Curtis (งานเก่าๆเช่น Bean (1997) มูฟวี่/ Notting Hill (1999) /Love Actually (2003) ที่สามารถนำพล็อตเก่าๆอย่างเรื่องการย้อนเวลาตามหารักมาเล่าใหม่พร้อมสับขาหลอกคนดูได้อย่างแนบเนียนในตอนท้ายเรื่อง จากที่เขียนมาถามว่าหนังมีจุดด้อยอะไรบ้างหรือไม่ ? เพราะเห็นร่ายมาแต่จุดเด่นมีครับมีแต่ผมไม่ขอพูดละกัน ผมหวังอยู่ลึกๆนะ ว่าถ้าใครอ่านที่ผมพล่ามมาได้จนจบเนี่ยคงจะเข้าใจกับคะแนนที่ผมจะให้ About time ไม่เหมาะกับคนดูหนังแนวนี้ไม่เป็นด้วยประการทั้งปวงครับ
คุณๆคนที่รัก ถ้าคุณสนุกกับหนัง รักอลังการวัยรุ่น สเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็กตระการตาดาวล้านดวง จัดไปครับ ทไวท์ไลท์ มาราธอน สักรอบ แต่คุณมองหางานรอมคอมที่อุดมไปด้วยสาระพร้อมแง่มุมใหม่
ที่หนังมีมาเสริฟ์ให้แก่ชีวิตคุณแล้วละก็ About time นี่ละครับจะทำให้คุณยิ้มไม่หุบจนหนังจบเลยทีเดียว ( ไม่ได้ค่าโฆษณา ! )
10/10
เยี่ยมชมและติดตามข่าวสารหนังจากคนกากๆได้ที่เพจ "กากหนัง"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น