วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Pet Semetary 1989 บางที"ตาย"อาจจะดีกว่า







Pet Sematary  "กลับจากป่าช้า"1989   



นี่ก็เป็นรีวิวหนังเรื่องที่2แล้ว จากงานเขียนของสตีเฟ่นคิงต่อจากเรื่อง missery ที่ได้รีวิวไปเมื่อคราวก่อนโดยเรื่องโทนเรื่องต่างจากเรื่องนั้นโดยสิ้นเชิง!

ลุงจั๊ด
       ครอบครัวสุขสันต์ของคุณหมอ ลูอิส ครีดส์ () อันประกอปไปด้วยภรรยา เรเชล ลูกสาว เอลลี่ และลูกชาย เกจ  แถมด้วยแมวเหมียวอีกหนึ่งนาม เชริช์ ย้ายบ้านมาอยู่ข้างทาง Highway แห่งหนึ่ง ที่นั้นพวกเขาได้ทำความรู้จักกลับเพื่อนบ้านชายแก่ใจดี จั๊ดส์ ที่อาสาจะพาทุกคนเดินชมสถานที่ สาวน้อยเอลลี่สงสัยว่าทางเดินลึกลับที่อยู่หลังบ้านนั้นจะนำไปสู่ที่ใด  จั๊ดจึงนำทางครอบครัวไปพบกับ Pet Semetary "สุสานสัตว์เลี้ยง" ที่นั่น จั๊ดได้เล่าประวัติความเป็นมาว่าเหล่าสัตว์เลี้ยงที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับเหล่ารถสิบล้อที่แล่นด้วยความเร็วสูงผ่านถนนหน้าบ้านจะมาลงเอยที่นี่ เอลลี่ยังเป็นเด็ก ยากที่จะเข้าใจเรื่องความเป็นความตาย ลูอิสผู้พ่อจึงพยายามจะอธิบายให้ลูกน้อยได้ฟังแต่เรเชลไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ด้วยว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่เด็กควรจะรู้   วันรุ่งขึ้นหมอลูอิสไปทำงานวันแรกก็เจอกับผู้ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ชนแล้วหนี เขาพยายามช่วยผู้ชายคนนี้แม้ว่าหมอคนอื่นจะบอกว่าเกินเยียวยาแล้วซึ่งก็จริงเพราะชายคนนี้ก็สิ้นลมภายในอึดใจต่อมานั่นเอง หมอลูอิสเตรียมกล่าวอำลากับศพชายผู้โชคร้ายแต่ทันใดนั้นเอง  ศพ!ก็ลืมตาขึ้นพร้อมบอกข้อความอะไรบางอย่างเกียวกับพื้นที่หลังสุสานสัตว์เลี้ยงที่ห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวเด็ดขาด !   



ปาสคาวน์

ยังไม่พอชายคนนี้ยังตามหมอลูอิสกลับไปถึงบ้านเตือนแล้วเตือนอีกเกี่ยวกับเรื่องของพื้นที่ต้องห้ามดังกล่าว    แล้วก็เข้าสู่ช่วงวันขอบคุณพระเจ้าที่ครอบครัวจะต้องไปเที่ยวพักผ่อนวันหยุดกันที่ชิคคาโก้ หมอลูอิส ขออยู่เฝ้าบ้านด้วยเหตุว่าไม่ถูกกับพ่อตาแม่ยาย หนูเอลลี่กำชับกับพ่อของเธอว่าช่วยดูแลเชริช์แมวของเธอให้ปลอดภัยด้วย เขารับปากว่าจะดูแลมันแต่อานิจัง วันถัดมาจั๊ดโทรมาบอกหมอลูอิสว่า เจอศพแมวนอนตายอยู่บนสนามหญ้าหน้าบ้านเขาให้ไปดูหน่อย เป็นเชริช์จริงๆ หมอตกที่นั่งลำบากเขาจะไปอธิบายลูกน้อยยังไงดี  ?  แต่แล้วจั๊ดก็เสนอตัวนำเขาไปหาที่ฝังเชริช์ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากสุสานสัตว์เลี้ยง ที่ๆ"ปาสคาวน์"ผีชายที่ประสบอุบัติเหตุได้เตือนหมอเอาไว้ว่าอย่าได้ไปยุ่งเกี่ยว  


เชริช์ Come back 

จั๊ดเล่าว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ดินของอินเดียน"มิคแมค" โดยพื้นดินของที่นี้มีอำนาจบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ขอแค่ให้หมอฝังเชริช์ไว้แล้วก็จะรู้เองว่าเกิดอะไรขึ้น      เช้าวันต่อมา เชริช์ กลับมาจริงๆด้วยเนื้อตัวมอมแมม เหม็นเน่า พร้อมนิสัยไม่เป็นมิตร จั๊ดจึงขยายความว่าที่ดินแห่งนั้นมีพลังที่จะสามารถชุบชีวิตได้ ที่เขาให้หมอทำแบบนี้ไปเพราะรู้ว่า เอลลี่ จะต้องรับความจริงเรื่องแมวตายไม่ได้แน่ เขาขอให้หมอช่วยปิดเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าไปบอกลูกเมียเด็ดขาด  จนกระทั่งหมอลูอิสถามขึ้นมาว่า
"จั๊ด เคยมีใครเอาศพคนไปฝังบ้างมั้ย ? "


เป็นคำถามที่ไม่น่าถามออกมาเลยจริงๆพ่อหนุ่ม เพราะหลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์สุดคาดคิดขึ้น

ในบ่ายวันนึงขณะที่ครอบครัวกำลังเล่นว่าวกันอยู่นั้นเอง ว่าวก็หลุดมือ!~

เกจ !!!!!!!!

ไม่ !!!!!!!!!
เท่านี้ก็คงพอจะเดาออกนะครับว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นต่อไปหมอลูอิสผู้พ่อจะทำมันจริงๆหรือไม่โปรดติดตามชมได้ใน "Pet Sematary กับจากป่าช้า"    

ตัวอย่างหนัง




Horror/Drama 

สตีเฟ่น คิง ในบทรับเชิญ เป็นบาทหลวง


นิยายของ สตีเฟ่น คิง หลักๆที่เห็นส่วนใหญ๋ถ้าไม่เป็นเรื่่องสยองขวัญเกียวกับภูติผีแล้วปีศาจ แล้วก็จะเป็นงานระทึกขวัญสั่นประสาท แต่หลายเรื่องที่ผมชอบแนวคิดของเขาที่มักจะพูดถึงเรื่องครอบครัวเสมอ ไม่ว่าจะเป็น  The shining "โรงแรมผีนรก"   Carrie  "สาวสยอง " The mist "หมอกมรณะ"   Thinner "ผอมสยอง" และ  Pet Sematary  ล้วนแล้วแต่มีตัวละครหลักที่เป็นครอบครัวที่มีตั้งแต่อบอุ่นไปจนมีปัญหา  ความรักของ บิดา มารดา ที่ทำให้ลูกน้อยได้ทุกอย่างแม้จะยอมทำสิ่งผิดมหันต์ก็ตาม

อีกประเด็นที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือเรื่อง  เกิด  แก่  เจ็บ  ตาย ในสอดแทรกสิ่งเหล่านี้โดยฉาบไว้บางๆ พอที่คนดูจะจับใจความได้ว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นไปตามวิถีทางของธรรมชาติ เราไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ แต่หากเราปรงใจกับสิ่งเหล่านี้ได้ในแนวคิดแบบชาวพุทธแล้วก็เป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ในแบบชาว"คริส"ที่ในหนังพูดถึงหนูน้อยเอลลี่ถามว่าใครเป็นคนกำหนดว่าใครสมควรตาย พระเจ้า หรอ ?  เรื่องแบบนี้มันซับซ้อนเกินที่เด็กจะเข้าใจและผู้ใหญ่จะอธิบาย หมอลูอิสจึงบอกลูกไปว่า"เราก็ควรจะอยู่กับปัจจุบันสิลูก  แมวของลูกยังไม่ตายตอนนี้หรอก" แต่เอลลี่ก็แย้งขึ้นมาว่าแล้วตอนเธออยู่มหาลัยล่ะมันจะยังอยู่มั้ย นี่ก็เป็นแสดงให้เห็นแล้วว่าเธอเริ่มเข้าใจในระดับนึง  ความเจ็บ กับความ แก่ คนไทยส่วนใหญ่ที่เชื่อในทางพุทธว่ามันเป็นเวรกรรมที่ตามมา  แต่กับชาวตะวันตกที่ไม่ได้เคร่งศาสนาเขามองสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นเพียงอุปสรรคที่จะต้องก้าวข้ามไปต้องหาทางเอาชนะ(ใครมันจะเอาชนะความตายได้)  


หมอลูอิส เป็นหมอแน่นอนว่าจบสายวิทย์-คณิตมา  เชื่อในวิทยาศาสตร์หลักการและเหตุผล แต่ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติก็เข้ามาสั่นคลอนสิ่งเหล่านั้นตั้งแต่ ปาสคาวน์ ออกจากร่างที่โรงพยาบาล เชริช์คืนชีพจากพลังอำนาจของผืนดิน  ซึ่งเป็นสิ่งที่วิทย์ศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้   อย่างที่บอกไปบุพการี ทำได้ทุกอย่างเพื่อ บุตร และ บุตรี ถ้าหากคุณสูญเสียคนในครอบครัวไปคุณก็คงจะได้แต่เศร้าโศกเสียใจ  แต่ถ้าคุณรู้วิธีที่จะนำเขากลับมาล่ะ คุณจะทำหรือไม่ ? 

ยิ่งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้พระเอกหนุ่มวัย40 พอล วอคเกอร์ ก็เพิ่งจะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในกองถ่ายหนังเรื่อง Fast and furious 7 สร้างความเศร้าสลดให้แก่คนบันเทิงทั้งไทยและเทศ  ความตายคนเราอาจมองว่าแค่เรื่องธรรดาแต่ถ้าเกิดขึ้นกับ คนรอบตัวเราล่ะ ? หรือกำลังจะเกิดขึ้นกับเรา คุณคิดว่าคุณจะยอมรับมันได้หรือไม่ ?
R.I.P

Paul Walker (I) (1973–2013)



คะแนน   8/10


       

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Taxi Driver แท็กซี่มหากาฬ 1976

Taxi Driver แท็กซี่มหากาฬ



มหากาฬ ไม่ได้หมายความว่า ACTION นะครัชแหม่ๆ 

ลังจากห่างหายจากการรีวิวหนังไปซะนาน ผมก็รู้สึกอยากจะเขียนอีกสักเรื่องให้เป็นโพสที่10

อเมริกาหลังสงครามเวียดนาม  มันจะต้องเกิดภาวะคนว่างงานจากเหล่าทหาร ที่ปลดประจำการมาเป็นแน่ และ คนที่เราจะพูดถึงนะจุดๆนี้เขาคือ  ทราวิช บิคเคิล  (โรเบิร์ต เดอ นีโร) อดีตทหารสังกัดกองเรือที่ ตัดสินใจมาล่าฝันใน New york เมืองที่เขาเชื่อว่าจะเป็นที่แห่งความหวัง ที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่หางานทำ

แต่ New york ไม่ได้สวยหรูอย่างที่เขาคิดน่ะสิครับ   ทราวิช ประสบปัญหานอนไม่หลับ เขาจึงไปสมัครเข้าเป็นคนขับรถแท็กซี่ ทำงานกะดึก และ สิ่งที่เขาต้องเจอทุกๆคืน คือสภาพสังคมที่เสื่อมโทรมของ New york อันได้แก่ ปัญหาอาชญกรรมต่างๆ การทำร้ายคนขับรถแท็กซี่ และ โสเภณี มันทำให้เขารู้สึกอยากจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ครับ เขามักจะเขียนไดอารี่ เล่าเรื่องราวต่างๆที่เขาได้ประสบพบเจอในแต่วัน (ตรงนี้จะเป็นภาพทราวิชนั่งเขียนไดอารี่และเป็น Over voice เสียงเขาบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ) ซึ่งจะมีให้เห็นเกือบทั้งเรื่อง  การที่เขาเขียนไดอารี่เป็นประจำถ้าคนดูสามารถจับความได้แต่ต้นเรื่องครับว่าเขาเป็นคนขี้เหงา ที่ไม่รู้ว่าจะไประบายความใจให้ใครฟังดี   นั้นทำให้เขาต้องการใครสักคนมาเป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่เรื่อน  ทราวิช มักจะไปจอดรถแท็กซี่แอบมองสาวออฟฟิศคนนึง เป็นประจำบ่อยครั้งก็มักจะเขียนลง ไดอารี่ถึงเรื่องของเธอคนนั้นบ่อยๆ จนวันนึงเขากล้าที่จะเข้าจีบเธอแบบจริงๆจังครับ  แล้วเราคนดูก็จะได้รู้ว่าเธอคนนี้ชื่อ เบซซี่ (ซีบิลล์ เชพเพร์ด)   ทราวิชใช้ "ชิวหา" ได้เป็นเลิศ! "ผมสัมผัสได้ว่ามีอะไรระหว่างเราที่มันพิเศษมากๆ" อ้วกกกกกกก  ต่อครับต่อครับยังมีอีก "ตาคุณสวยมากๆครับสวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย" ยังๆไม่พอครับ "เราเหมือนถูกสร้างมาเพื่อคู่กัน" มันเสี่ยวมากครับคุณผู้ชมเล่นซะจนมดขึ้นที่ขอบจอโทรทัศน์  ทราวิชจึงออกปากชวนสาวเจ้าไปทานกลางวันด้วยและทำตอบที่ได้คือ....คือ....."ตกลงค่ะ"    มันทำได้เว้ยเฮ่ย เรื่องมันเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีอยู่แล้วเชียว (รู้สึกเหมือนกำลังหนังดูหนังรอมคอมซักหวานๆเรื่อง)ถ้าเหตุการณ์นี้ไม่เกิดขึ้น...


จุดเปลี่ยน

ทราวิซ ตัดสินใจชวน แม่นางเบซซี่ ไปชมภาพยนตร์ด้วยกันครับ โดยที่กำลังไม่รู้ว่า"หายนะ" กำลังจะเกิดขึ้นครับ ฮึๆๆ...   ทาวิซพาเธอดูไปหนังเรื่อง "ภาษารัก" เป็นหนังโป๊สัญชาติสเปนสุดคลาสสิค (เอ็งพลาดแล้วทราวิซ อิๆ)เหตุการณ์หลังจากนั้นคุณคงพอจะเดาออกนะครับ   เบซซี่ไม่พอใจอย่างแรงเธอ เดินหนีเขาออกมานอกเธอไม่พอใจเขาที่พอมาดูอะไรแบบนี้  โดยที่เจ้าตัวก็ไม่เข้าใจว่าทำไมธอถึงหัวเสียก็เข
แม่นางเบซซี่
าดูหนังแบบนี้เป็นประจำอะ ? เขาเลยยื่นข้อเสนอว่าไปดูอะไรอย่างอื่นก็ได้คุณนำไปเลย แต่สาวเจ้าไม่ยอมครับ เธอเลยตีจากไปไม่ใยดีปล่อยให้ทราวิซ ยืนงงๆ  อันที่จริงคือ ทราวิซเขาไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเท่าไหร่อยู่แล้วนะครับ ว่าอะไรควรไม่ควร มันน่าสงสารเขาจริงๆนะจุดๆนี้ คนที่หนังดูหนังเรื่องเรื่องนี้กับผมด้วยกัน พวกเขาก็มักจะตั้งคำถามขึ้นว่า มีมัน โง่ หรือ บ้า  คับคล้ายคับคราครับ มีเส้นบางๆขั้นกลางไว้อันนี้ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี      

ที่เขียนมาข้างบนนี่พลาดประเด็นๆหนึ่งไปครับ นั่นก็คือเรื่องของเบซซี่ เธอทำงานเป็นฝ่ายช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครเข้าท้าชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมือง New york ชาร์ล พาเลนไทน์  ซึ่งทีแรกทราวิซใช้เป็นข้ออ้างเข้าไปจีบเธอครับยิ่งตอนคบกันใหม่ๆก่อนเกิดเหตุการณ์ข้างบนนี่พี่แกก็เที่ยวเชียร์คุณ พาเลนไทน์ คนนี้แบบออกนอกหน้า ต้องการเอาใจสาวน่ะครับ  แล้วเราก็มาต่อจากด้านบน  ทราวิซ พยายามง้อเบซซี่ครับ แต่สาวเจ้าไม่เล่นด้วยไม่ยอมคุยโทรศัพท์ส่งดอกไม้ไปก็ไม่ยอมรับ ปล่อยให้เน่าในที่อยู่ที่ในห้องทราวิซ พี่แกเลยบุกถึงที่ออฟฟิศต้องการจะคุยให้รู้เรื่อง แต่ก็โดนเพื่อนในที่ทำงานของเบซซี่ ผลักไสไล่ส่งออกมา นับตั้งแต่วินาทีนั้นผมว่าแค่ใครพูดเรื่องของ ชาร์ล พาเลนไทน์ ขึ้นมาคงสะกิดใจที่ทราวิซ ให้หวนย้อนนึกถึงเรื่องนี้เป็นแน่บาดจริงบาดใจไปเลยทีเดียว  ทราวิซกินน้ำละกำไปตามระเบียบ 


ปัญหาก็ประดังเข้ามาไม่หยุดครับเมื่อเกิดเหตุการทำร้ายคนขับแท็กซี่ระยะหลังนี่ถี่ขึ้นมากๆ  สมาคมแท็กซี่ชนกลุ่มน้อยของทราวิซก็เริ่มพูดถึงการหาทางป้องกันตัวเช่น พกปืน ทราวิซไม่รีรอครับทุ่มกำลังทรัพย์ซื้อปืนพกขนาดต่างมาไว้ในครอบครองพร้อมทั้งดัดแปลงอาวุธและฝึกฝนร่างกายในยามว่าง เพื่อรับมือกับสถานะการณ์คับขัน    


แล้วเธอคนนี้ก็เข้ามา...
วันนึง ขณะที่ทราวิซกำลังขับรถกะดึกมีเด็กผู้หญิงอายุประมาณ13-14 วิ่งเข้ามาที่ท้ายรถบอก "พาชั้นไปจากที่นี่ที" แล้วก็มีผู้ชายท่าทางไม่น่าไว้เจ้าเดินเข้ามาฉุดกระฉากหล่อนไปพร้อมโยนแบงค์ให้ทราวิซพร้อมบอกว่า "ลืมๆมันไปซะ"  เขาจำหน้าเด็กคนนั้นได้ติดตา และเมื่อเจอเธออีกครั้งเขาจึงพบกับความจริงที่ชวนตกใจที่ว่าเธอ เป็น โสเภณีเด็ก  ทราวิซเลยเข้าไปล่อซื้อ(ศัพท์ตำรวจซะด้วย)เธอจากเจ้าคนที่มาฉุดกระฉากซึ่งเราจะรู้ในภายหลังว่ไอ่หมอนี้เป็นแมงดาสมยานามว่า"สป็อต"
5 นาที 100 นึง 15 นาที 500 ห้ามต่อเข้าใจ๋ !

เด็กคนนี้เธอชื่อว่า "ไอริส" แต่ต้องการให้เรียกว่า Easy "อีซี่" เพราะ อี สป็อต ตั้งให้ เธอหนีออกจากบ้านมา New York และโดนล่อลวงโดย สป็อตด้วยเรื่องของความรักที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าถูกหลอก  ทราวิซ ทนกับเรื่องนี้ไม่ได้เขาต้องการเห็นความถูกต้องในสังคม เขาจะต้องลุกขึ้นทำอะไรสักอย่าง เพื่อเปลี่ยนความยุ่งเหยิงในสังคมและในจิตใจของเขา อยากแรกที่เขาจะทำก็คือช่วย ไอริส ให้พ้นจากเงื้อมมือมาร ทราวิซจะทำสำเร็จหรือไม่ชะตากรรมของเขาจะเป็นเช่นไรโปรดติดตามได้ใน Taxi Driver แท็กซี่มหากาฬ   ให้เสียงภาษาไทยโดย CVD อินเตอร์เนชั่นแนล  หรือไม่ก็ http://moviex2.blogspot.com/2013/08/mini-hd-taxi-driver-720p-4.html   อย่าไปบอกใครนะครับว่ามีให้โหลด ^^


ก่อนจากกัน...

ที่ตัวผมได้มีโอกาสสัญหาหนังเรื่องนี้มาดูอันเนื่องด้วย ติดใจฝีมือการแสดงของ ลุง เดอ นิโร จากหนังครอบครัวชุดเรื่อง Meet the parent  ปี 2003-2010 (หนังสามภาคนะครับไม่ใช่ซีรีย์) ลุงแกเล่นเป็นพ่อของนางเอกที่เป็น CIA ปลดกระเสียญบทแกจัดว่าฮาเข้าขั้นครับเรื่องนั้น


ทำให้เราสมัครเป็นแฟนผลงานลุงไปโดยปริยาย   บวกกับด้วยว่าเคยค้นหาข้อมูลดูว่าตอนหนุ่มๆแกมีผลงานอะไรที่จัดว่าเข้าขั้นบ้างชื่อต้นๆที่เข้ามา ตัวอย่าง Godfather 2 แล้วก็ taxidriver เมื่อลองค้นหารูปของหนังเรื่่องนี้ขึ้นมาดู  มันยิ่งชวนให้อยากรู้อยากเห็นเข้าไปใหญ่    ดูรูปนะครับ...

  คือแบบว่าเห็นแค่นี้ก็อยากรู้แล้วล่ะครับว่ามันเกี่ยวกับอะไร ทำไมลุงต้องตัดผมทรงนี้ ?  อกหักหรอ ? จากที่อ่านๆข้างบนมานั้นก็อาจเป็นส่วนนึงก็ได้ครับ  แล้วพอเมื่อได้ลองสัมผัสต้องขอบบอกเลยว่าเป็นที่คนอื่นดูแล้วอาจงงว่ามันต้องการจะสื่ออะไรว่ะ ? บางคนรับสารไม่เหมือนกันครับตัวผมได้ไปอ่านรีวิว  เจ้าอื่นๆมาบ้างแล้วแต่ละคนตีความไปในแบบต่างๆกัน ผมก็จะเอาใจความเท่าที่ผมพอจะจับได้มาเล่านะครับ ตัวละครอย่าง ทราวิซ เป็นเหมือนตัวแทนคนบ้านนอก หรือ ทหารผ่านศึกที่ เข้ามาล่าฝันในเมืองใหญ่ แต่เขาติดปัญหาเดียวก็คือเป็นคนที่ยังเห็นโลกนี้มาไม่มากพอ เขาไม่รู้บางเรื่องที่คนอื่นรู้ แต่ขณะเดียวกันคนอื่นก็ไม่รู้ในเรื่องที่เขารู้ดี งงไหมครับ ช้าๆนะ  ยกตัวอย่าง ทราวิซ มา New york เขาได้เห็นสภาพสังที่เสื่อมโทรมและโสมมจนเขาเอาไปเปรียบดั่งท่อระบายน้ำ ขณะที่ชาว  New york ทั่วๆไปกลับมองว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติ   พวกเขาหลอกตัวเองว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาหรือ นี่เป็นธรรมชาติสังคมของพวกเขา ทราวิซ ไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้ทนกันได้ยังไง ทั้งปัญหา อาชญากร  โสเภณีเด็ก เขาจึงคิดอยากจะเปลี่ยนเรื่องนี้ทั้งหมดมันเก็บกดในหัวเขาได้แต่นั่งเอาเรื่องเหล่านี้ใส่ในไดอารี่ไปวันๆ พลันไปพูดให้สหายร่วมแท็กซี่ฟังเขาก็แย่งพูดว่่าเข้าใจซะทั้งหมด  เขาต้องการใครสักคนที่เขาจะพูดอย่างเปิดใจด้วยได้ แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการก็เสียโอกาสมีเพื่อนคู่ใจไปซะ น่าเศร้าครับ ตัวผู้เขียนเมื่อเห็นอย่างนี้แล้วรุ็สึกว่าตัวเองต่อติดในบางเรื่องกับ ทราวิซ นะครับแต่ไม่ทั้งหมด  จะมีคนที่นั่งดูแล้วเอาใจช่วยเขา กับ กลุ่มนึงที่ดูแล้วจะนั่งหัวเราะชีวิตเขา เขามีหลายอย่างดูแล้วชวนให้เห็นใจตั้งเยอะ นำไปสู่บทสรุปที่ผมบอกได้เลยว่าเหนือความคาดหมายตอนจบเป็นอะไรที่จะทำคนที่เชียร์ทราวิซมาทั้งเรื่อง ไม่ร้องไห้โฮ่ๆ ก็ตบมือดีใจ ยิ้มจนแก้มปริ ยันไปถึงด่าเขาว่า มึงโง่รึเปล่า? ต้องไปลองดูเองครับ

หลายคนโดยเฉพาะคนไทยที่ยังไม่เคยไปต่างแดนและสุดแสนจะอยากไปย่างกายใน New York city ด้วยเห็นภาพและวิวทิวทัศน์ต่างในเมืองจากหนังเรื่องอื่นๆ หรือ โทรทัศน์ พวกนั้นเป็นส่วนที่เหมือนจะเป็นการโปรโมทเมืองเอาด้านสวยๆงามๆมาให้ได้ชมกัน แต่กับหนังเรื่องนี้ ผู้กำกับ มาร์ติน สกอเซซี่
(Martin Scorsese) เขาเติบโตใน New york ตอนเด็กๆคงวิ่งเล่นอยู่แถวๆนั้น แกเลยสามารถเอามุมอับของเมืองมาอยู่ในที่แจ้งผ่านสายตาชาวโลกด้วยหนังเรื่อง กับการเล่าเรื่องแบบ study character ที่จะให้คนดูศึกษาตัวละครไปด้วยให้เห็นพัฒนาการของคนขี้เหงาได้อย่างกลมกล่อม ชื่อเรื่องว่าแท็กซี่มหากาฬ แต่มันไม่ได้บู๊ล้างผลาญอย่างชื่อหรอก มันเป็นหนังดราม่าเสียมากกว่า แต่เรื่องตีๆต่อยๆ ยิงๆ อะไรก็มีพอดีดูไม่น่าเกลียดหรือล้นจนเกินไป หนังเนิบๆถ้าคุณไม่มีทักษะยุทธในการเสพภาพยนตร์ขอแนะนำให้ดูตอนเช้าหลังกินข้าวเสร็จ เตรียมหนอมและผ้าห่มให้พร้อมเผื่อหนักหนังตา แต่ถ้าคุณเป็นคนขี้สงสัยแล้วล่ะก็คุณดูเรื่องนี้จนจบแน่เชื่อผม ^^

ระดับความบันเทิง

เป็นหนังคัลล์นอกระแสที่น้อยคนจะรู้จัก แต่ถ้ารักงานศิลปะ  เอาไปเลย

7.9 /10 











วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Misery (มิสเซอรี่) อ่านแล้วคลั่ง !

Misery (มิสเซอรี่) อ่านแล้วคลั่ง !  ผลงานจากปลายปากกาของ สตีเฟ่น คิง

                              

ภาพยนตร์เขย่าขวัญเรื่องนี้ดัดแปลงจาก งานเขียนชื่อเดียวกันของเจ้าพ่อนิยายสยองขวัญอย่าง สตี เฟ่นคิง   
มิสเซอรี่ ฉบับนิยายแปลไทย เคยใช้ชื่อเรื่องว่า "ระทึก"

เรื่องมันมีอยู่ว่า...

พอล เชลด่อน
พอล เชลด่อน (เจมส์ คานส์) นักนิยายชื่อดังซึ่งสร้างชื่อจากผลงานนิยายชุดเรื่อง "มิสเซอรี่" คิดจะวางมือจากงานเขียนนิยายชุดเรื่องนี้ โดยต้นฉบับล่าสุดที่เขาเพิ่งเขียนเสร็จแล้วกำลังจะส่งไปสำนักพิมพ์นั้นเขาได้เขียนให้ "มิสเซอรี่" นางเอกของเรื่องต้องตายตอนคลอดลูก (คือกะว่าจะปิดตำนานโดยไม่ให้ได้มีภาคต่อกันเลยทีเดียว) พิมพ์เสร็จ พอลก็เก็บข้าวเก็บของออกจากบ้านพักตากอากาศเตรียมตัวจะไปส่งต้นฉบับ เขาขับรถฝ่าไปในพายุหิมะที่อยู่ๆก็โหมกระหน่ำมาโดยบังเอิญจนเกิดอุบัติเหตุรถเสียหลักลงข้างทางแล้วนอนหงาย    พอลนายตายแน่ๆ แต่ดั่งฟ้ามาโปรดครับ อยู่ๆก็มีคนร่างใหญ่ใจดีพร้อมขวานปรากฎตัวขึ้นงัดประตูรถและแบกพอลกลับบ้าน  แล้วพวกเราคนดูก็จะทราบในภายหลังครับว่าพอลของเราขาหัก แต่ "เธอ" คนนี้ที่แบกพอลกลับบ้านพร้อมทำการพยาบาลให้เสร็จสรรพนั้นมีชื่อว่า แอนนี่ วิลเกส (แคที่ เบสท์)  โดยเธอได้แนะนำตัวกับ

พอลว่าเธอเป็นแฟนหมายเลขหนึ่งของเขาเลยทีเดียว เธอตามอ่านนิยายของเขาแทบจะทุกเล่มเลยก็ว่าได้ นั้นทำให้พอลรู้สึกปลื้มปิติยินดีอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นแอนนี่ก็ถามถึงต้นฉบับที่เธอเก็บมาจากรถของเขาว่าจะขอลองอ่านได้ไหม พอลเลยตัดสินใจว่าไหนๆเธอก็ช่วยเราไว้ตอบแทนเธอบ้างจะเป็นอะไรไป  เธอเลยได้อ่านต้นฉบับนิยายเรื่องนี้ก่อนใครเพื่อนเลยครับแล้วปัญหาต่างๆก็ตามมาครับ...    แล้วมาวันอยู่มาวันนึง แอนนี่ก็เดินตึงตังเข้ามาในห้อง เธอบอกว่าเริ่มอ่านไปได้นิดหน่อยแล้ว เธอกล่าวเยินยอพอลว่านิยายเรื่องนี้สนุกมากๆแต่การใช้ภาษาพูดขอตัวละครที่ดูไม่สุภาพเท่าที่ควรจะเป็น พอลก็อธิบายว่าเรื่องราวมันเกิดขึ้นในสลัมบทสนทนาแบบนั้นจึงเป็นเรื่องปกติ  แต่แอนนี่ก็ไม่พอใจ เอะอะโวยวายด่าว่าพอลเป็นการใหญ่เลย พร้อมขอโทษไปด้วยในตัว จนถึงตอนนี้พอลก็เริ่มจะตะหงิดๆอยากกลับบ้านแล้วครับ เลยขอแอนนี่โทรศัพท์แต่เธอบอกว่าสัญญาณถูกตัดขาดเนื่องจากพายุหิมะ พอลก็เซ็งสิครับงานนี้ทำอะไรไม่ได้นอนอยู่บนเตียงกินๆนอนๆอยู่อย่างนั้นแถมยังต้องมาคอยรองรับอารมณ์ ของแอนนี่ที่คุ้มดีคุ้มร้าย หลังจากอ่านนิยายมาอีก ถ้าบทไหนดี เธอก็สุดแสนจะเฟรนลี่ แต่ถ้าบทไหนไม่เข้าตาเธอละก็ พอลต้องทนนอนฟังดรามาสตอรี่จากเธอเป็นชุดครับ   ในคืนวันหนึ่งหลังอาหารค่ำแอนนี่บอกกับพอลว่าเธออ่านถึงบทสุดท้ายแล้วลุ้นสุดใจขาดดิ้นเลยว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร (ซึ่งคุณผู้อ่านและผมก็น่าจะรู้ๆกันดีจากที่เกริ่นนำในช่วงต้นมาแล้วนะครับ) เธอก็วิ่งหลุนๆลงไปอ่านในบัดดล    




และในคืนนั้นเอง..... แอนนี่ขึ้นมาที่ห้องของพอลพร้อมระเบิดคำด่าทอว่าร้ายสาปแช่งปานจะกินเลือดกินเนื้อใส่พอลครับ ว่าเขามันเป็นฆาตกรที่ทำให้นางเอกในนิยายของเธอต้องตายตอนคลอดลูก  พอลก็ต้องอธิบายสิครับแต่แอนนี่ไม่อยู่ในสถานะที่จะรับฟังเธออาละวาดทำลายข้าวของ สร้างความตกอกตกใจให้พอลเป็นอย่างมาก ก่อนจะหายแวบไปที่ประตูพร้อมกลับมาในวันรุ่งขึ้นเธอจัดการเผาต้นฉบับทิ้ง ซ้ำยังบังคับให้พอลเขียนขึ้นใหม่โดยลงทุนไปซื้อกระดาษกับ พิมพ์ดีดมาให้ใช้เลยทีเดียว พอลไม่อยู่ในฐานะที่จะขัดขืนแอนนี่ได้เลยด้วยสภาพร่างกายเช่นนี้ บทสรุปจะเป็นยังไง พอลจะรอดจากเงื้อมมือของ เจ๊แอนนี่ ผู้นี้ได้หรือไม่ ? แล้วเจ๊อ้วนคนนี้เธอเป็นใคร ไปหาดูในกูเกิลนะครับ รู้สึกว่าจะมีให้ดูในเว็บ MTHAI  


ชื่อหนังสือว่า "ระทึก" หนังก็ "ระทึก"ไม่แพ้กัน

หนังเรื่องนี้ตอนผมเห็นครั้งแรกก็โปสเตอร์ด้านบนนี้แหละครับ ก็เริ่มตีความว่าเรื่องนี้มันหนังผีแน่ๆ แต่ไม่ใช่ครับ ผมเพิ่งจะมาแยกแยะได้เมื่อไม่นานมานี้เองว่า สยองขวัญ  กับ ระทึกขวัญ มันต่างกันยังไง  หนังเปิดเรื่องมาด้วยอารมณ์ที่เนิบนาบครับ ก่อนจะช็อกคนดูด้วยอุบัติเหตุของพอล และนำเราไปพบกับแอนนี่ พยาบาลที่ดู"ท่าทาง"จะใจดี โดยที่ตัวเอกของเรื่องได้รับบาดเจ็บที่ขาทั้งสองข้างทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ยอย่างอิสระต้องนอนอยู่บนเตียงเท่านั้นรอแอนนี่เข้ามาเซอวิสในห้อง บางทีมาดีบางทีมาร้ายขึ้นๆลงๆคนดูก็จะลุ้นแทนพอลเลยครับว่า อุ้ยๆเจ๊แกเขามาอีกแล้วคราวนี้จะทำอะไรกับพอลอีกบ้าง เริ่มจากพังข้าวของ หนักขึ้น เรื่อยๆ ก็มี ค้อน บ้าง ปืน หน่อย ปืน! นั้นมันไม่หน่อยแล้ว กักขังหน่วงเหนี่ยวแถมยังใช้กำลังน่ากลัวเป็นที่สุดครับ  โดยฉากการเผชิญหน้ากันของพอลกับแอนนี่เป็นอะไรที่ระทึกและน่าอึดอัดสุดๆ  เพราะคนดูจะไม่มีทางรู้เลยว่าแอนนี่จะมาไม้ไหนกันแน่  แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้โฟกัสอยู่ที่ พอล อย่างเดียวนะครับ ก็แน่นนอนนักเขียนชื่อดังหายไปจากบ้านพักตากอากาศแถวนั้นทั้งทคน ก็ต้องมีการตามหาสิครับ แต่คงยากหน่
อยนะ ฮึๆ  โดยหน้าที่นี้เป็นของนายอำเภอประจำเมืองวัยดึกท่านหนึ่ง หนังจึงตัดสลับระหว่างเรื่องของพอล กับ การสืบสวนหาตัวเขาของนายอำเภอ เพื่อใหคนดูได้ผ่อนคลายจากความอึดอัดที่ตัวเองต้องอยู่ในพื้นที่บริเวณจำกัดเกือบทั้งเรื่อง  แต่เมื่อพอลปลดล็อคไอเท็ม "รถเข็น" มาจากแอนนี่แล้ว พอลพยายามจะหนีหลายต่อหลายครั้งในช่วงที่แอนนี่ไม่อยู่บ้านแต่สาวเจ้าก็ล็อคบ้านไว้เป็นอย่างดี เมื่อเป็นอย่างนี้พอลก็ต้องวนเวียนไปมาอยู่ในบ้านด้วยอารมณ์เอื่อมระอา แต่ก็จะทำให้คนดูค่อยๆรับรู้ภูมิหลังของตัวแอนนี่มากขึ้นไปด้วยจากการค้นบ้านของพอล  และที่เล่นซะผมหายใจไม่ทั่วท้องก็คือฉากที่แอนนี้กลับบ้านมาในตอนนั้น พอลจะต้องรับตะเกียตตะกายขึ้นรถเข็นกลับเข้าห้องเพื่อมาให้ถูกจับได้ว่าหนีออกมาโดยทีเธอไม่รู้ตัว          


ทิ้งท้ายกันหน่อย  ...

หนังเรื่องนี้เป็นความบันเทิงอย่างเยี่ยมเลยครับสำหรับคนที่ชอบหนังแนวระทึกขวัญไล่ฆ่าแต่ไม่ถึงกับโหดซาดิสเลือดท่วมจอ  ดาราจัดเต็มก็ต้องยกให้เธอครับ  แคธี เบสท์ เป็นคุณป้าน่ารักใจดีในหลายๆเรื่องที่ผ่านตาผมมา แต่กับเรื่องนี้ เธอเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่ไม่มีหน้าปัดเตือนครับว่าจะระเบิดเมื่อไหร่เวลาไหนให้คนดูระทึกเล่น ยิ่งตอนแกแหกปากโวยวายนี่น่ากลัวมากๆครับเป็นคนละคนกับตอนใจดีเลยทีเดียว  ดูเสียงซาวด์แทรคได้อารมณ์มากๆครับไม่รู้ว่าพากย์ไทยต้นฉบับเรื่องนี้เป็นยังไงสงสัยต้องหามาลองครับอารมณ์จะถึงซาวด์แทรคไหม   เจมส์ คานส์   ดูไม่ค่อยจะเหมาะสักเท่าไหร่ครับกับบทนักเขียนนิยายสำหรับสาวๆดูหน้าสิอย่างกะมาเฟียหรือพวกพระเอกนักบู๊ แต่การแสดงก็ยังถือว่าสอบผ่านครับ เพราะตัวพอลในเรื่องจะต้องแสดงตบตาแอนนี่และขอความเมตตาจากเธอตลอดแต่ลับหลังนี้ Fนck  Sh1t จัดเต็มกันเลยทีเดียว     เชื่อว่าหลายคนคงเคยเป็นกันนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง หรือ อ่านนิยาย หรือ เล่นเกมส์ อะไรพวกนี้แล้วรู้สึกว่าตอนจบมัน... ไม่ใช่อะ  ไม่โดนอะ  จบไม่สวยอะ   จบสวยเกินไป  อะไรเทือกนี้แล้วเราจะเสนอแนวคิดให้คนข้างๆฟังว่าเฮ้ยๆมันน่าจะจบอย่างนี้มันน่าจะเป็นอย่างนี้ เชื่อครับวาคุณผู้อ่านบางท่านต้องเคยเป็นแน่นอน แต่ลองคิดดูครับเราไม่ใช่ผู้ประพันธ์เนื้องานเหล่านั้นเลย สิ่งที่เราทำได้ก็แค่รับเอาสาระและความบันเทิงจากสื่อนั้นๆมันเพื่อจรรโลงจิตจรรโลงใจเท่านั้น ไม่ว่าตอนจบหรือบทสรุปจะเป็นยังไงอย่างน้อยมันก็จะเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนดูครับ   สมมุติว่าผมอยากจะอ่าน Harry potter เล่ม8 นี่ผมไม่ต้องไปจับ j.k. rowling มาขังไว้ที่บ้านแล้วบังคับให้เขียนเลยหรอครับ ฮาๆๆๆ ว่าไปนั้น     Misery (มิสเซอรี่) อ่านแล้วคลั่ง   เป็นหนังที่ถูกปากผมเรื่องนึงในช่วงปีนี้เลยครับ 



                              คะแนน 7.7/10

    

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

The Graduate พิษรักแรงสวาท 1967

The Graduate พิษรักแรงสวาท (แต่ไม่อุจาด นะครัชแหม่ๆ)


เมื่อประมาณ4ปีก่อน(2552)  มีหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องที่ชื่อ Watchnen ศึกซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์มหากาฬ เข้าฉายในบ้านเราเป็นหนังที่เล่าเรื่องได้ถูกอกถูกใจผมมากและดนตรีประกอบที่ใช้เพลงจากยุค60เข้ากับตัวหนังได้อย่างลงตัว แล้วก็มีอยู่เพลงนึงในWatchmenฉากงานศพ ที่เข้ามากระทบโสตประสาทการได้ยินของผมแล้วเกิดอาการหลงไหลเพลงนี้ขึ้นมาในบัดดลครับ เพลงนี้มีชื่อว่า...          "Sounds of Silence"  
 แต่งและขับร้องโดย พอล ไซม่อน และ อาร์ต การ์ฟังเกล 
ผมหลงรักเพลงนี้โดยไม่รู้ตัวครับจนหาฟังใน youtube ไปเรื่อยๆจนกระทั้งเจอคลิปเกี่ยวกับ หนังที่ชื่อว่า "The graduate"  ค้นไปค้นมาก็รู้มาว่าที่แท้เพลงนี้เคยเป็นซาวด์แทร็กของหนังเรื่องนี้มากก่อนครับ  นี่แหละครับอยากดูเพราะเพลงเหมือนต้องมนต์อะไรอย่างงั้นเข้าจาก 2552-2556 ในที่สุดผมก็สามารถหาหนังเรื่องนี้มาเสพได้ในที่สุดครับ ! 



เปิดเรื่องมาด้วยชายหนุ่มคนหนึ่ง เพิ่งถึงสนามบิน ผู้ชมก็จะได้ยินเพลง Sound of Silence พร้อมขึ้นชื่อเรื่อง "The graduate"     เบนจามิน แบรดด็อก (รับบทโดย ดัสตินฮอฟ แมน) หนุ่มหน้าตา(เกือบ)ดี ที่เพิ่งเรียนจบป.ตรี  วัยเพียงยี่สิบเอ็ดปี  เดินทางกลับมาบ้านเกิดเมืองนอนหลังจากที่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนมาอย่างบากบั่น  โดยได้รับการต้อนรับขับสู้จากพ่อแม่พี่น้องเพื่อนบ้านคณาญาติมากมายครับ หลายคนตรงเข้ามาถาม เบน ถึงเรื่องของอนาคตครับว่าจะทำอะไรต่อไป ? ไหนจะชวนไปทำงานเกี่ยวกับพลาสติก  บ้างก็จิกให้เขาไปเรียนต่อโท  แต่พุทโธ่พุทถัง  เขายังไม่มีเป้าหมายในอนาคตครับ  หลังจากเรียนมานานจนความฝันในวัยเด็ก ปณิธาน ความตั้งใจต่างๆมลายสิ้น  กัดกินความกระตือรือล้นในทุกๆด้านของเบน   จนกระทั้งการมาถึงของ คุณนายโรบินสัน (รับบทโดย แอน แบนครอฟต์)


เพื่อนบ้านของพ่อแม่เขาที่เบนเคยรู้จักเมื่อสมัยเด็กๆ เธอบุกเดี่ยวเข้าห้องเบนพร้อมถามสารทุกสุขดิบ พร้อมหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ  และลูบไล้เบนด้วยวาจาชวนสยิว ก่อนจะซิวตัวเบนให้พาไปส่งที่บ้าน เบนยืนกรานที่จะไม่ไปพร้อมให้กุญแจรถกับหล่อน  แต่หล่อนก็ว่านล้อมจนเบนต้องยอมไปส่งจนได้    เมื่อถึงบ้านคุณนายโรบินสัน ก็เริ่มยั่วยวน เบนทั้งในทางกายและวาจาใจครับ เธอยังบอกอีกว่าสามีไม่อยู่บ้าน รีบๆหน่อย โอ้คุณพระ เบนของเราก็เป็นเด็กดีครับไม่เล่นด้วย 


จนคุณโรบินสันคนสามีกลับมา  พาให้เบนได้พ้นภัยจากคุณนายโรบินสัน    คุณโรบินสันได้บอกเบนว่าตัวเองน่ะแก่แล้วแต่เบนนี่สิยังหนุ่มยังแน่นควรรีบเสพความสุขเสเพลให้มากแก่แล้วจะไม่ได้ทำ (ดูเขาสอนสิครับแนวคิดของคนอเมริกันสุดโต่งมากๆ)  เบนก็ลักจำมาปรับใช้กับชีวิต  เรื่อยๆเปื่อยไปวันๆอย่างไร้จุดหมายจนวันนึงเบนก็เกิด ความต้องการทางเพศขึ้นมาครับ ! และคนที่เขาไปขอความช่วยเหลือก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คุณนายโรบินสัน นั่นเองงงงงง  โดยทั้งคู่มักจะไปนัดเจอกันที่โรงแรมที่เบนได้ไปเปิดห้องนอนเดี่ยวไว้ทุกคืนครับ กลัวคนสงสัย ใช้ชื่อปลอม จองห้องเดี่ยว
มาบ่อยจนพนักงานโรงแรมจำได้นะครัชแหม่ๆ

อีเลน
เบนเริ่มใช้ชีวิตเสเพลอย่างน่าตกใจ   ใครจะไปเชื่อครับว่าเป็นเบนคนเดียวกับเมื่อตอนเริ่มเรื่อง ตอนเช้าอยู่บ้านกับ พ่อ แม่  กินนอน  อาบแดด เล่น สระน้ำ ตกดึก ก็ไปโสเดมาคอม กับ คุณนายโรบินสันที่โรงแรมเป็นประจำซ้ำแล้วซ้ำเล่า  จนคุณพ่อแม่เริ่มเป็นห่วงครับว่าอนาคตลูกชายจะเป็นยังไงต่อไป วันๆไม่ทำอะไรดึกๆก็หายหัวกลับมาอีกทีก็เช้ามืด  และแล้วชีวิตของเบนก็กำลังจะเปลี่ยนไปเพราะการมาถึงของ อีเลน (รับบทโดย แคททารีน รอสส์)ลูกสาวของบ้านโรบินสันที่เพิ่งเรียนจบป.ตรี มาเช่นกัน โดยพ่อของทั้งสองฝ่ายเชียร์ให้ไปเดทกันครับ เพราะเบนก็ต้องไปแก้ตัวกับ คุณนายโรบินสันว่าทำเพราะจำใจแต่เอาเข้าจริงเมื่อเขาได้สัมผัสตัวตัวตนของอีเลนเขาก็เกิดหลงรักเธอขึ้นมาจริงๆครับ  มันส์เลยครับทีนี้ เบนจะจัดการปัญหาชีวิตที่แสนจะยุ่งเหยิงของเขายังไง เรื่องจะไปจบในทิศทางไหนลองไปหาโหลดมาดูกันครับไม่สปอย ^^   http://newstandbymoviesoundtrackthai.blogspot.com/2013/07/imdb81720pone2up-graduate-1967-sound.html     อยากดูก็โหลดจ้าโหลด

ทำไมต้องเรื่องนี้  ?

ต้องบอกก่อนว่าไม่รู้ข้อมูลอะไรหรือมีใครชักจูงให้ดูหนังเรื่องนี้นะหรอกครับ แค่ตามเสียงเพลงมาเท่านั้นเอง^^ แล้วก็เจอเข้ากับของดีครับ   ดั้งเดิมหนังเรื่องนี้เป็นนิยายงานเขียนโดย ชาร์ลส เว็บบ์  และถูกดัดแปลงและนำมากำกับโดย ไมค์ นิคโคลส์ หนังมาในรูปแบบหนังโรแมนติคดราม่าธรรมดาๆทุนสร้างไม่ได้สูงหรืออลังการอะไรมากครับแต่บัดนี้กลายเป็นงานคลาสสิคขึ้นหิ้งไปแล้วแถมยังส่งให้พระเอก จมูกโตโนเนม อย่าง ดัสติน ฮอฟแมน ขึ้นเป็นดาราชั้นแนวหน้าของฮอลลี่วู๊ดในเวลานั้นเลยทีเดียว   ตอนหาเรื่องนี้มาดูแค่อ่านเรื่องย่อเหมือนที่เขียนไว้ข้างบนก็อยากจะดูแล้วครับว่าหนังมันจะจบแบบไหน ? ยังไง ? พระเอกนี่ร้ายมั๊กๆทำแบบนั้นได้ยังไงได้แม่แล้วยังจะเอาลูกเขาด้วย แต่พอได้ลองเสพดูแล้วก็รู้ครับว่าทุกอย่างมันมีที่มาของเรื่องราวทั้งหมดว่าเป็นยังไง เริ่มด้วยว่าเบนเขาจบป.ตรีมาจากที่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียวจนติดเกียรตินิยมมันน่าชื่นชมแต่พี่แกไม่เคยคิดถึงอนาคตเลยครับว่าจะทำอะไรต่อไปหลังเรียนจบมาแล้วก็ไร้จุดหมายในชีวิตใครๆถามเขาว่าจะไปทำอะไรเฮียแกก็ตอบไม่ได้ว่าจะไปทำอะไร จนกระทั้งมาเจอพวกบ้านโรบินสัน คนผัวสอนให้รู้จักผ่อนคลาย คนเมียก็ชวนเล่นกีฬาในร่ม  เบนก็เลยเสียศูนย์ครับใช้ชีวิตเรื่อยๆเปื่อยๆ ไม่คิดหางานหาการทำ   จนพ่อเขาถามว่า"นี้เอ็งกำลังทำอะไรอยู่"
 เบนก็ตอบไปว่า "นอนแช่น้ำอยู่ฮะ สบายดีจะตายไป"   ที่เขาถามว่าทำอะไรอยู่นี่หมายถึง"เมื่อไหร่เอ็งจะไปทำอะไรอย่างอื่นบ้างต่างหากครับ"  
จนกระทั่งอีเลน ลูกสาวของคุณนายโรบินสันมาถึง ทางบ้านของเบนก็เชียร์ครับจีบๆเลยนัดแนะให้ไปเที่ยวกัน เบนก็ต้องมานั่งแก้ตัวกับคุณนายโรบินสันครับว่าจะไม่ยุ่งลูกของป้าแค่พาไปเที่ยวเฉยๆ แต่พอทั้งคู่ออกไปเที่ยว เบนทำตัวไม่สุภาพหลายอย่างครับเพื่อไม่ให้อีเลนมีใจให้ แต่พอทั้งคู่ได้เริ่มคุยกัน และเบนเลิกวางท่าเสเพลเปิดใจรับเขาก็พบว่า อีเลนก็ไม่ต่างอะไรจากเขาครับ บัณฑิตจบใหม่ไร้จุดหมายในชีวิต ทำให้ทั้งสองเขาใจกันและกัน ตกหลุมรักชั่วข้ามคืนครับ แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกครับ ฮึๆ อยากรู้ว่าทำไมไปดูกันเอาเอง  แต่ที่แน่ๆมันทำให้ผมคิดนะครับว่าอนาคตเราจะเป็นอะไร ? ที่แน่ๆคงไม่ว่างไปวันๆเหมือนเบนหรอกครับ สังคมบ้านเราเดี๋ยวนี้ กับ สังคมอเมริกันยุคก่อนมันต่างกันมากๆ  อย่าเพิ่งไปฝันถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงดีกว่าครับอยู่กับปัจจุบันเพื่ออนาคตที่ดี จะดีกว่า ถึงแม้บางทีผมจะเริ่มรู้สึกว่าอนาคตเริ่มจะริบหรี่ลงแล้วแต่พอได้ดูหนังเรื่องนี้มันทำให้เรามีแรงฮึดขึ้นมาครับว่า  การจะทำอะไรสักอย่างนึงเนี่ยมัวแต่นั่งคิดนั่งพูดมันก็ไม่เป็นรูปเป็นร่าง มีแต่จะต้องลงมือทำเท่านั้น  แล้วไหนยังจะเรื่องที่เป็นทีมหลักของหนังว่าด้วยความ"รัก"อีก หนังเรื่องนี้นำเสนอความรักในหลายรูปแบบครับ ครอบครัว กับ ชู้สาว  ซึ่งหนักที่อย่างหลังมากกว่านะครับแหม่ๆ ก็ไม่เข้าใจนะว่าทำไมพระเอกนางเอกถึงรักกันง่ายอย่างนั้น แค่ว่าเข้าใจหัวอกเดียวกันหรือยังไงก็ไม่ทราบแต่ดูแล้วมันก็เป็นอะไรที่น่ารักดีครับ เบนยอมทำทุกๆอย่างเพื่อให้ได้อยู่เคียงอีเลน มันซับซ้อนจนผมขี้เกียจอธิบายเลยทีเดียวส่วน
ที่ว่าไปได้เสียกับคุณนายโรบินสันเห็นที่จะเป็นเรื่องของฮอร์โมน นะครับเมื่อเบนมีความต้องการ และคุณป้าก็พร้อมสนอง

       หนังเรื่องนี้ถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจดีๆเรื่องนึง เกี่ยวกับเรื่องการรู้จักใช้ชีวิตอย่างรู้คุณค่า มีคุณค่าทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง  เพื่อโยชน์สุขของคนในสังคมครับ   หนังธรรมดาๆ ที่ มีอะไรมากกว่าที่คุณคิด ที่ผมเขียนๆมาอาจจะเป็นแค่เพียงส่วนยิบย่อยของหนังเรื่องนี้เองก็ว่าได้ครับมันยังมีอะไรให้ค้นหาอีกมากมายในหนังเรื่อง The Graduate

คะแนน  8/10

   

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

The green hornet หน้ากากเกรียน(แตน)อาละวาด !


The Green Hornet หน้ากากอาละวาด !  (2011)

เมื่อประมาณสัปดาห์ ก่อนหลังสอบเสร็จผมมีโอกาสได้ไปเดินเที่ยวย่อนใจที่ห้าง ก็เป็นทำเนียมประจำที่จะต้องเดินเข้าร้าน บูมเมอร์แรง ร้านขายแผ่นDVD เข้าไปเดินดูโม้เรื่องหนังให้เพื่อนฟังจนเจ้าของร้านมั่นไส้บ้าง  ยืนดูแล้วก็ไม่ซื้อบ้าง แต่พะเอิญวันนั้นผมพอมีตังค์ติดกระเป๋าอยู่บ้างผมเลย หยิบหนังมาสองเรื่อง  หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องนี้แหละครับ  หน้ากากแตนอาละวาด ในราคา 189 บาท

หนังออกมาตั้งนานแล้วทำไมมาซื้อเอาป่านนี้เพิ่งเคยดูหรอ ?

อันที่จริงผมดูมาแล้วตั้งแต่ตอนมันเข้าโรงเลยนะ  ตอนนั้นน่าจะช่วงประมาณอยู่ม.3 แท็กทีมกับพี่ชายไปดูกัน ค่อนข้างสนใจในตัวหน้ากากแตนคนนี้มาก  เพราะได้ยินกิติศัพท์ที่คุณพ่อเล่าลือมานาน  หลังจากดูรอบนั้นออกมา ก็เช่ามาดูซ้ำอีกรอบ โหลดเก็บบ้าง หนังมันถูกปากผมมาก จึงถึงควรแก่เวลาที่จะมีในครอบครองซะที !  

The Green Hornet  ?

Green Hornet (กรีนฮอร์เน็ท ) เป็นผลงานละครวิทยุที่สร้างสรรค์โดย George W. Trendle และ Fran Striker (ผู้สร้างสรรค์เดียวกับ The Lone Ranger) ในช่วงปี 1930   เรื่องราวของ ฮีโร่หน้ากาก นามหน้ากากแตน และ ลูกมือ เคโต้ ออกพดุงความยุติธรรมในสังคมด้วยการปราบเหล่าร้าย  มาในโทนเดียวกันกับ เดอะโลนเรนเจอร์ (เพราะผู้สร้างได้เชื่อมเรื่องราวว่าตัว หน้ากากแตน บริท รีส นั้นเป็นญาติรุ่นเหลนของ จอห์น รีส )  เมื่อได้รับความนิยมก็มีการขยายตัวไปในสื่อต่างๆ อย่างหนังสือการ์ตูน รวมถึงภาพยนตร์ขาวดำ  แต่ที่เป็นตำนานกล่าวขวัญกันจนถึงทุกวันนี้คงจะหนีไม่พ้น หน้ากากแตน ฉบับ ละครทีวีในช่วงปี 1966-1967    
The Green Hornet 1969
ด้วยเนื้อหาที่เป็นหนังแนวสืบสวนสอบสวนฮีโร่ จึงได้รับความนิยมอย่างมากในยุคนั้นและเป็นที่จดจำของคอหนังรุ่นปู่รุ่นพ่อชาวเอเชียด้วย Kato (เคโต้) ผู้ช่วยของหน้ากากแตนในเรื่องรับบทโดย Bruce Lee บรูซ ลี  ดารานักบู๊ผู้ล่วงลับ  ด้วยท่วงท่าการต่อสู้สไตล์กังฟูของเขาทำให้เป็นที่จดจำ ของฝรั่งตาน้ำข้าวใน Hollywood อย่างรวดเร็ว  หลังจากปิดตำนานหน้ากากแตนไปแล้วในปี 1967  ก็มีการวางแผนจะนำ green hornet หลับมาในรูปแบบจอเงินหลายครั้งหลายคนแต่ก็เป็นอันล่มไปหลายครั้ง จนปี2010  Seth Rogen เซธ โรเก้น  และ  เพื่อนร่วมงานของเขาเตรียมหยิบเดอะกรีนฮอร์เน็ทมาปัดฝุ่นอีกครั้งโดยวางดาวตลกชื่อดังแห่งเอเชียอย่าง โจวซิงฉือ มาเป็นผู้กำกับ แต่ด้วย เฮียโจวซิงฉือ แกมีแนวคิดที่ว่าให้ ตัวละครเคโต้ จากผู้ช่วยเปลี่ยนมาเป็นผู้คอยชักใย ตัวกรีนฮอร์เน็ทให้ไปปราบเหล่าร้ายแทน พูดง่ายๆก็คือให้เคโต้เป็นพระเอกไปเลยครับ แต่แน่นอนว่าแนวคิดนี้ไม่ผ่านเข้าตา เซธ โรเก้น  จึงเป็นอันล้มพับเก็บไป  จนทางทีมงาน สามารถหาตัวผู้กำกับรายใหม่ Michel Gondry (ไมเคิล กอนดี้)  มาได้งานก็เริ่มเดินหน้าไปในทางที่พวกเขาต้องการเป็นอันเปิดกล้องครับ


             ณ.. เมืองลอสแองเจิลลิส ในยุคปัจจุบัน ปัญหาอาชญากรทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น กฎหมายไม่สามารถทำอะไรพวกค้ายาได้ เกิดแก๊งต่างๆมากมาย    แต่ผู้คนกลับวางเชยและเห็นเป็นเรื่องปกติ ก็จะมีแต่หนังสือเอกชน The Daily Sentinel  ที่กล้าเขียนบทความและสกู๊ปข่าวเกี่ยวกับความเสื่อมโทรมของเมืองให้ผู้คนเริ่มรู้สึกตัวถึงความไม่เป็นธรรมในสังคมและภัยที่กำลังคุกคามพวกเขา ภายใต้การนำของ บรรณาธิการ  เจมส์ รีด (ทอม วิกินสัน) ที่กล้าเปิดเผยความจริง  แต่เขาก็ต้องกุมขมับปวดหัวก็เรื่องของลูกชาย  บริท  รีด  (เซธ โรเก้น) ที่วันๆเอาแต่ผลาญเงินหาความสุขกับปาร์ตี้ไปวันๆไใม่สนใจสิ่งรอบข้าง  จนกระทั่ง เจมส์ รีด ถึงแก่กรรมด้วย ดวยพิษจากเหล็กในผึ้ง อย่างกระทันหัน  อาณาจักรหนังสือพิมพ์เอกชนจึงต้องตกมาอยู่ในความดูแลของ บริท รีด โดยที่เขาเองไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่   และในเช้าวันหลังจากที่เขาสั่งไล่คนใช้ของพ่อออกจากงานหมดนั้นเอง กาแฟรสเลิศที่ข้างเตียงยามเช้าของเขารสชาติเปลี่ยนไปเขาไม่พอใจมาก สั่งให้หัวหน้าคนใช้เรียกตัวคนชงกาแฟกลับมาด่วนที่สุด (เอาแต่ใจจริงๆ)  คนชงกาแฟที่ว่านี่ก็คือ เคโต้ (เจย์ โชว) หนุ่มชาวจีนช่างเครื่องมากความสามารถ   เมื่อทั้งสองมาพบกัน ทั้งสองก็พบว่าเขาเกลียดคนๆเดียวกัน นั้นก็คือพ่อ(บริท)และเจ้านายตนเอง(เคโต้) เหมือนผีเน่ามาเจอกับโรงผุ ทั้งสองเลยวางแผนจะออกไปทำลายรูปปั่นอนุสาวรีย์ของพ่อที่สุสาน (ดูมันทำ) ขณะที่ปฎิบัติภารกิจนั้นเอง ก็ดันเกิดเหตุโจรปล้นขึ้น ซึ่งทั้งสองก็ได้เข้าไปช่วยประชาชนโดยบังเอิญ ครับและหลังจากหนีการตามล่าของตำรวจกลับมาถึงคฤหาสน์ บริท ก็ตระหนักได้ว่าการช่วยคนมันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง(เคโต้จัดการคนร้ายครับ เฮียแกยืนสั่งอย่างเดียว555)  เขาจึงเริ่มให้หนังสือพิมพ์ของเขาเองประโคมข่าวเหตุการณ์ในคืนนั้นพร้อม  สร้างคาแร็กเตอร์ของ The Green Hornet ขึ้นมาและเริ่มออกผดุงความยุติธรรม ท้าทายอำนาจแก๊งค้ายาปแบบ เกรียนๆไปพร้อมกับเคโต้  
หมัดฟลุ๊ค ครับอิอิ
   

แอนตี้ฮีโร่ 

ต้องขอบอกก่อนเลยว่า กรีน ฮอร์เน็ท ในเวอร์ชั้นนี้ต่างจากใน ซีรีย์เมื่อปี่ 1966 โดยสิ้นเชิงครับแม้จะนำองค์ประกอปต่างๆอย่างตัวละครกลับมาครบก็จริง แต่ก็อย่างที่บอกครับ "แอนตี้ฮีโร่"  หมายถึงพวกฮีโร่ที่ขาดคุณสมบัติบางประการที่จะเป็นฮีโร่ อย่างเช่นไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ฆ่าคนร้าย(ฮีโร่บางคนไม่ทำ)  พลังพิเศษของตัวเองเป็นปมด้อย   ซึ่งกรีนฮอร์เน็ทของเมื่อปี 1966 เทียบได้กับ แบท แมน & โรบิ้น เลยนะครับทั้งในเรื่องอุปกรณ์ต่างๆความสุขุมการวางแผนความรอบคอบ  ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนหาไม่ได้ใน กรีน ฮอร์เน็ท เวอร์ชั่นนี้เลย   เริ่มจากการที่เปิดตัวพระเอกที่มาในมาดของเด็กมีปัญหาขาดความอบอุ่นจากคนในครอบครัวขาดความรับผิดชอบเอาแต่สนุกสนานไปวันๆ  จนพ่อเขามาจากไปก็ยิ่งเหมือนเพิ่มภาระให้เขาอีก ซึ่งจากที่ไม่ค่อยชอบพ่อก็กลายเป็นเกลียดพ่อไปเลย   การที่เขารู้สึกอยากเป็นฮีโร่ ก็เป็นเพียงความรู้สึกสนุกสนานเพียงชั่วครู่ครับ  ถึงตอนเด็กๆเขาจะมีความคิดพยายามจะช่วยเหลือผู้คน แต่พ่อได้ใช้คำพูดที่ทำให้เขาหมดกำลังใจที่จะทำความดี "ความพยายามจะไม่มีค่าแหกล้มเหลว" เป็นผมโดนว่าอย่างนี้นะเจ็บจี๊ดเลย สำหรับบางคนแล้วคำพูดแบบนี้อาจจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาต่อยอดได้ แต่กับบางคนอาจเป็นคำพูดที่ไปบั่นทอนความตั้งใจจนล้มเลิกความพยายามไปเลยก็ได้      กรีน ฮอร์เน็ท เวอร์ชั่นนี่จึงเป็นฮีโร่ที่เกิดมาจากการต้องการพิสูจน์ตนเองแก่ผู้อื่นของบริทกับการลบปมด้อยที่ฝังใจเขามาตั้งแต่เด็ก โดยมีพื้นฐานเกี่ยวกับความถูกต้องเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง แม้เขาจะมาสำนึกได้ในภายหลังก็ตามไปดูเอาเองนะครับไม่สปอย ...

บริท และ เคโต้

               เคโต้ = คนใช้/ลูกสมุน/เพื่อนชายในอุดมคติ/พี่น้อง

เคโต้ตัวละครที่ บรูซ ลี เคยได้รับบทเมื่อนานมาแล้วจนเป็นภาพจำของนักดูหนังรุ่นพ่อ  บทเคโต้ในภาคนี้เคยเกือบๆจะได้เป็นของดาวตลกคนดังแห่งเอเชียอย่าง โจวซิงฉือ ไปแล้วพ่วงด้วยตำแหน่งผู้กำกับ แต่สุดท้ายบทนี้ก็มาลงเอยที่ เจย์ โชว์ นักร้องนักแสดงขวัญใจสาวๆชาวใต้หวัน เรียกได้ว่าเป็นผลงานฮอลลี่วู๊ด เรื่องแรกของเขาก็ว่าได้ซึ่งทำได้ดีเลยทีเดียว   เคโต้ ของ บรูซ ลี และ เจย์ โชว์ มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยก็ว่าได้  โดยของลี  จะมาในมาดเด็กรับใช้ชายจีนผู้ซื่อสัตย์ มาพร้อมสุดยอดวิชากังฟู เป็นคนมีเหตุผลรอบคอบ บริทจะต้องปรึกษากับเรื่องแผนการต่างๆที่วางไว้กับเขา โดยเคโต้จะเป็นคนชี้จุดอ่อนจุดแข็งพร้อมเสนอแนะ    แต่เมื่อมาในเวอร์ชั่นของ เจย์ โชว์ มันต่างกันราวฟ้ากับเหวครับคุณผู้อ่าน  บริทรู้จักเขาตอนแรกด้วยเรื่องของกาแฟ ซึ่งเคโต้ชงถูกปากครับ   จากนั้นเคโต้ก็เริ่มโชว์พราวตั้งแต่รถยนตร์ติดอาวุธยัน ยุทโธปกรณ์ ต่างๆแบบจัดเต็ม  (ขี้อวดมากๆ)  ซึ่งในเวอร์ชั่นที่ลีแสดงไว้ไม่ได้มีบอกว่าอุปกรณ์ทั้งหมดนั้นใครเป็นประดิษฐ์  และที่ต่างจากของลีโดยสิ้นเชิงเห็นจะเป็นเรื่องความมีหัวจิตหัวใจที่จะดูเป็นปุถุชนคนธรรมดามากยิ่งขึ้น  ซึ่งความเป็นปุถุชนนี้นี่เองจึงจะนำไปสู่หัวข้อต่อไป

เมื่อคนธรรมดา(ที่รวย)เป็นฮีโร่ 

ฮีโร่หลายคนที่เรารู้จักพวกเขามักจะไม่ยอมให้อารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผลในการตัดสินใจ  แต่ไม่ใช่กับไอ้สองคนนี้ครับ   ถึงบริทจะเป็นคนเริ่มแนวคิดการออกปราบเหล่าร้าย แต่ความดีความชอบต่างๆนี่ต้องยกให้เคโต้นะครับ อุปกรณ์ต่างๆ ทักษะ กังฟู ที่ช่วยชีวิตของพวกเขาไว้ แต่ในสายตาประชาชนตัวเคโต้เป็นเพียงแค่.. ลูกมือ....ลูกสมุน....คนขับรถของกรีนฮอร์เน็ท เท่านั้นเอง นี่แหละครับนำมาซึ่งความน้องใจเล็กๆของเคโต้ ด้วยนิสัยเอาต่อใจของบริทอีกที่กดหวใช้งานเคโต้ให้ทำเรืองต่างๆ แบบไม่ไว้น่ากันเลยก็มีหรอที่เฮียแกจะไม่ยั๊วะ     ตัวบริทเองก็ใช้ย่อยครับปัญหาระดับชาติที่เกิดในหนังเรื่องนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ชายทุกคนบนโลกครับ นั้นก็คือ 
เรื่องผู้หญิงนี่แหละครับ ... เฮ่อ    ต้องแนะนำให้รู้จักก่อนนะครับเธอคนนี้คือ เลนอว์ เคส (คาเมลอน ดิแอซ)  สาววัย30กว่าๆ ที่เข้ามาสมัครเป็นเลขาชั่วคราวของบริทที่ เดลี่ เซนติเนล แต่บริทเธอเข้าทำงานถาวรครับ (งูโผล่บนหัวตัวเบ่อเร่อ)  และนี่ล่ะครับ บริทก็ปิ๊ง เคโต้ ก็ปิ๊ง มันจึงเป็นเรื่องโดยทั้งสองไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องอาชญากรในเมือง L.A เลยจึงใช้เธอเป็นคนหาข้อมูลให้นี่แหละครับ โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าไอ้สองนายนี่จะเอาข้อมูลของเธอไปใช้วางแผนท้าชนกับขาใหญ่ใน L.A.  เธอการเป็นคนวางแผนไปโดยปริยาย ผิดกับเวอร์ชั่นเมื่อปี 1966 ที่เป็นเหมือนตัวถ่วงที่สองนายต้องตามไปช่วยมากกว่า   บริท กับ เคโต้ ถึงกับต่อยกันบ้านแทบฟัง แน่นอนบริทโดนซัดเละครับแต่รอดมาได้เพราะเคโต้...ไม่สปอย 
นี่จึงแสดงให้เห็นว่าทั้งสอง ก็ยังเป็นคนธรรมดาอย่างเราๆนี่แหละครับ ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง  ให้ได้เห็นเป็นส่วนที่ทำให้ผมชอบประเด็นนี้ว่าแบบทีฮีโร่ถึงจะตามแก้ปัญหาให้คนอื่นแต่ก็มีต้องปัญหาของตัวเองเหมือนกัน  ฮีโร่ถ้ามีจุดอ่อนคนก็ด่าว่าอ่อนแอ ฮีโร่ถ้าเก่งกาจทรงพลังคนก็ด่าว่าโอเวอร์เกินจริงเป็นหนังการ์ตูน  ฮีโร่ถ้ามีคุณธรรมสูงส่งขาวจัดคนดูก็จะว่าโลกสวย   ด้วยองค์ประกอบที่พูดมานี่เองครับ กรีนฮอร์เน็ทจึงมีความเป็นสีเทา  อยู่ในระดับที่ว่าไม่ดีเกินไม่เกรียนเกิน แต่ด้วยหนังมาโทนจริงจังจนน่าเครียด กรีน ฮอร์เน็ท และ เคโต้ ในเวอร์ชั่นนี้จึงต้องกลายเป็นเหมือนตัวตลกสำหรับคนดูไปด้วย เพื่อควมสนุกสนานเฮฮาของหนัง 



มาดูตัวร้ายกันบ้าง ...

"ชัคนอฟสกี้ " เป็นชื่อของวายร้ายคู่เกรียนต้องประมือด้วยในหนังตอนนี้ครับ  รับบท คริสตอฟ วอลซ์   ซึ่งอันที่จริงแล้วบทนี้เคยเกือบๆจะได้ดาราพระเอกรุ่นใหญ่อย่าง นิโคลัส เคจ มาแสดงแล้วนะครับแต่เฮียแกก็ดัน Say no จากโปรเจกต์นี้ไป แต่ก็ถือว่าดีครับเพราะถ้าหนังเข้ามาไทยคนดูอาจจะชอบตัวร้ายมากกว่าพระเอก ^^    ชัคนอฟสกี้ เป็นพ่อค้ายารายใหญ่ในลอสแองเจอลิสมีสมุนและลูกหาบมากมายครับแต่เขาต้อง วิกฤตชีวิตเมื่อแก๊งใหม่ๆเกิดขึ้นมาข้ามหน้าข้ามตาเขาโดนลบหลู่ทำให้เขาต้องล้างบางพวกเด็กรุ่นใหม่สร้างความยำเกรงในหมู่ลูกน้องอีกครั้ง ทุกอย่างไปด้วยสวยจนกระทั่ง กรีนฮอร์เน็ท โผล่มาเท่านั้นแหละครับ  มีลูกน้องของเขาจำนวนนึงมองว่า กรีนฮอร์เน็ท หน้ากลัวกว่าเขาเท่านั้นเฮียแกก็ฉุนขาดสั่งตามล่าเกรียนฮอร์เน็ทพร้อมคิดไปว่า คนกลัวกรีนฮอร์เน็ทเพราะมันใส่หน้ากาก เอาข้าจะใส่บ้าง 555 บ้างได้ใจ คริสตอฟ เล่นำได้เหี่ยมแต่ก็ยังแฝงความฮาปัญญาอ่อนเข้าด้วยลงตัวดีทีเดียว   แต่ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าท่าให้เคจเล่นมันจะออกมาเป็นยังไงนะ 


หนังเปิดเรื่องมาให้เห็นความสัมพันธ์ของ บริท กับ พ่อของเขาต่อด้วยการแนะนำตัวร้ายพร้อมพาไปดูบริทในวัยหนุ่มที่ค่อนเสเพล จนตัดมาที่ฉากการตายของพ่อเขาที่ทำให้อารมณ์หนังดูโดดอยู่บ้าง จนการมาของเคโต้ ทั้งสองออกไปเกรียนด้วยกันช่วงนี้เล่าได้ฮามากๆ ฉากแอ็คชั่นไม่ถึงคั่นจัดเต็มแต่ก็ถือว่าเยอะสำหรับหนังโปรดั๊กชั่นเล็กไม่ได้อภิมหามากนัก (ตอนก็แปลกใจว่าทำไมถึงได้เข้าโรงบ้านเราด้วย)
ที่เป็นไฮไลท์คงฉากแอ็กชั่นของเคโต้ที่ ดูแล้วเพลินตากับการหยุดเวลาและอาละวาด ทำออกมาได้เท่เหมือนหนังการ์ตูน พล็อตของเรื่องไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่แต่ก็พอดูคลายเครียดได้หากไม่จริงจังเน้นเนื้อหา  มีแนวคิดและคติดีๆสอดแทรกเกี่ยวกับเรื่องมิตรภาพ ครอบครัว ฉาบไว้ออกจะบางๆไปหน่อยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี  กรีนฮอร์เน็ทจึงจัด เป็น Action Comedy  ที่เหมาะจะดูกันทั้งครอบครัว 


6.9/10

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

The Lone Ranger ลูกผีลูกคนจริงๆ

The Lone Ranger หน้ากากพิฆาตอธรรม !


ทำไมโปรยหัวว่าลูกผีลูกคน ?

ก่อนจะตีตั๋วเข้าดูเรื่องนี้นะครับ ได้รับฟังคำวิจารณ์มาจากหลายสำนัก  บ้างก็บอกว่าเนิบๆเอื่อยๆ บ้างก็บอกว่าพูดกันทั้งเรื่องไม่สนุก แอ็คชั่นน้อยเกินไป หาคำวิจารณ์ที่จะออกมาในแนวสรรเสริญเยินยอหนังไม่ค่อยจะมีหรอกครับ   ของอย่างนี้มันต้องไปพิสูจน์เอง ว่าจะเป็นลูกผีหรือลูกคน ของอย่างนี้มันอยู่ที่ความชอบส่วนบุคคลครับ  และเมื่อดูจบ นี่มันลูกผีลูกคนชัดๆ มีที่ทั้งชอบและไม่ชอบปนๆกันมาครับ เข้าเรื่องดีกว่า  

    
             

หน้ากากพิฆาตอธรรม !

 รือในชื่อปักกฤษ  The Lone Ranger เรื่องราวการผจญภัยของมือปราบชายหน้ากากและคู่หูชาวอินเดียนแดงนาม"ตอลโต้" ที่ผจญภัยไปทั่วแดนตะวันตกพิชิตคนพาลอภิบาลคนดี  เป็นศรีแก่สังคม  โดยเริ่มจากการเป็นละครวิทยุมาก่อนครับจนเป็นที่นิยมก็ได้มีการขยับขยายมาเป็นทีวีซีรีย์ในปี 

1949–1957  พร้อมเวอร์ชั่นหนังใหญ่ในปี  1956  
ฉบับทีวีซีรีย์

         ตามด้วยนิยายภาพ Comic ต่างๆ  และสื่อที่มีมาเรื่อยๆแต่จนเงียบหายไปนานถึง10ปี ปี2013 หน้ากากพิฆาตธรรมก็กลับมาอีกครั้งภายใต้แบรนด์ดังอย่าง Walt Disney  โดยหนังได้ผู้กำกับคือ  กอร์ เวอบินสกี้  (จากหนัง Pirates of the Caribbean ไตรภาค ) และโปรดิวเซอร์อย่าง  เจอร์รี่ บัคไฮเมอร์    ยกทีมกันมาจากหนังโจรสลัดไตรภาคเลยก็ว่าได้ !  

   นังเปิดเรื่องมาด้วยภาพของ งานวัดฝรั่ง ใน ซานฟรานซิสโก ปี1933  เด็กชายใส่หน้ากากที่เดินเข้าไปในบ้านคนแปลกระหว่างเดินชมมุมตะวันตกอยู่ ก็ไปสดุดตากับหุ่นอินเดียนแดงครับ  อยู่ๆหุ่นก็ขยับขึ้นได้เองและขอเด็กกินถั่ว ! ถั่วลิสง นะครับพออิ่มแล้วลุงอินเดียนก็เริ่มเล่าเรื่องการผจญภัยของตนให้เด็กน้อยฟัง      

   ปี 1868 รัฐเท็กซัส อเมริกาในยุคคาวบอยเฟื้อง ที่พวกคนขาวเริ่มจะมีวิทยาการในการสร้างรถไฟ ซึ่่งแน่นอนว่าการจะสร้างทางรถไฟบางทีก็อาจจะไปลุกล้ำเขตของผู้อยู่มาก่อนอย่างชนพื้นเมืองอินเดียนแดง ครับ ทำให้เกิดเป็นปัญหา แต่ก็ยังการมีการเจรจาเพื่อความสงบสุขครับซึ่งถ้าหากใครละเมิดกฎก่อนได้มีปะฉะดะกันแน่     จอห์น รีด (อามี แฮมเมอร์)  หลังจากไปเรียนกฎหมายที่นิวยอร์ทเป็นเวลา9ปี ก็ถึงแก่สมควรที่จะนำความรู้เรื่องกฎหมายที่เรียนมากลับมารับใช้บ้านเกิดเมืองนอนในฐานะอัยการเขต  แต่ระหว่างเดินทางก็เกิดเหตุชิงนักโทษในขบวนรถไฟอย่างไม่คาดฝัน 



บุช คาเวนดิช
ขุนโจรชื่อกระช่อนอย่าง บุช คาเวนดิช (วิลเลี่ยม ฟินช์เนอร์) หนีรอดไปได้ด้วยฝีมือเขานี้แหละครับและยังได้รู้จักกับ อินเดียนลึกลับเผ่าโคแมนชี่ ที่ชื่อตอลโต้ (จอนนี่ เดปป์) ซึ่งมีแผนการจะกำจัด บุช แต่ดั้นโดนจอห์นแหย่มือเขาไปช่วยครับ แผนที่เขาวางไว้เลยเป็นอันล้มเหลว    ตอลโต้ถูกควบคุมตัวโดยเหล่ามือปราบเท็กซัสซึ่งนำทีมโดย แดน พี่ชายของ จอห์น     แดนวางแผนจะตามล่าบุชแบบจับตาย แต่จอห์นซึ่งเรียนกฎหมายมามีความตั้งใจจะจับบุชไปขึ้นศาลให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย ทั้งสองมีความเห็นไม่ตรงกันแต่ผู้เป็นพี่ก็ต้องยอมน้องครับให้จอห์นร่วมเดินทางไปด้วยในครั้งนี้    แต่แผนการกับล่มไม่เป็นท่าครับเนื่องด้วยว่า "เกลือเป็นหนอน" ไม่สปอยนะครับ  ขบวนเดินทางของแดนถูกดักซุ่มโจมตี คาดว่าน่าจะตายกันหมดนะครับ จนตอลโต้โผล่มา ! (เฮ้ย อยู่ฮ่องกงไม่ใช่หรอนายออกมาได้ยังไง)  มาขุดหลุมเตรียมฝังศพ แต่เผอิญตอนแกกำลังจะฝังจอหน์ พี่แกสะดุ้งตื่นครับ ตอลโต้ เลยเอาก้อนหินโคกเข้าให้หลับไปอีกสักพัก จึงเข้าใจว่านี่อาจเป็นชะตากำหนดให้ชายผู้นี้เป็นผู้ไม่ตายในสนามรบเนื่องจากจิตวิญาณของชาวอินเดียนแดง ซึ่งในเรื่องเป็น ม้าขาว ได้เข้ามาปลุกจอหน์ให้ฟื้น  เมื่อจอหน์ฟื้นขึ้นมาและได้สนทนากับตอลโต้ทำให้รู้ว่าเขาทั้งสองมีเป้าหมายเดียวกันนั้นก็คือตามล่าบุช จึงตกลงร่วมมือกันโดยตอลโต้ต้องการให้จอห์นสวนหน้ากากเพื่อปกปิดฐานะของตน และ การพจญภัยของทั้งสองก็ได้เริ่มต้นขึ้น !       
            

ยังมีตัวละครที่ได้พูดถึงข้างบนอีกนะครับได้แก่   




รีเบลคก้า  รีด(รูท วิลสัน)  สาวมั่นลูกหนึ่ง ภรรยาของแดน ภาพลักษณ์ที่หนังพยายามจะนำเสนอให้เธอดูอ่อนแอแต่ที่แท้เธอเป็นสาวแกร่งครับ ถึงเธอจะแต่งกับ แดน แต่ เธอก็ยังแอบมีใจให้จอห์นครับ แล้วเธอก็ยังเป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้จอหน์กลับมาบ้านเกิด  ซึ่งคนที่มองเรื่องนี้ออกแต่แรกคือ ตอลโต้ครับ




เลทั่ม  โคล์  (ทอม วิคคินสัน)  ชายผู้เป็นเจ้าของเครือข่ายรถไฟ โดยมีโครงการที่จะต่อทางรถไฟให้ล้ำเข้าไปในเขตุของพวกอินเดียนครับ เขาคอยจ้องมอง รีเบลคก้า ด้วยสายตาชวนขนลุกครับดูยังไงๆก็เหมือนหม้อกันชัดๆ ขนาดเจ๊แกมีลูกแล้วนะนั้น แต่เขาค้อนข้างที่จะมีความเห็นไม่ลงลอยกับแดน สักเท่าไหร่ 



เรด แฮริงตั้น (เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์) แม่เล้าขาขาว (ขาวยังกะงาช้าง)บุชเคยช่วงชิงบางอย่างจากเธอไปเมื่อจอห์นและตอลโต้เข้าไปถามข่าวคราวเกี่ยวกับบุช เธอจึงขอร่วมวงสนับสนุนทั้งด้วยคนครับ ออกมาน้อยฉากก็จริงแต่เรียกเสียงฮาได้ใช่ย่อย


ซิลเวอร์ ! สีหมอกยอดอาชา

จิตวิญญาณของอินเดียนแดง ม้าตัวสีขาวปลอดได้เลือกจอห์นให้ฟื้นจากความตาย ภายหลังเป็นพาหนะคู่ใจของจอห์นเลยก็ว่าได้หน้ารักๆมากครับ    ม้าตัวนี้ขโมยซีนทุกฉากเลย ตั้งกระดกเหล้า ยัน ปีนหลังคาบ้าน ม้าตัวนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ  ในเว็บบอร์ดพันทิพมีคอมเม้นนึงที่กล่าวว่านักแสดงที่ดีที่สุดในหนังหนังคือม้าตัวนี้ ! มันฟังดูแปลกๆแรงๆยังไม่รู้ก็ ลองไปหาคำตอบเอาเองนะครับสำหรับผมก็ถือว่านักแสดงทุกคนเล่นสุดความสามารถแล้วเอาไปเทียบกับม้าไม่ได้หรอก ^^

มาชำแหละหนังกันเถอะ !

       ตัวหนังใช้การเล่าเรื่องของ ตอลโต้ (ตอนแก่) ให้เด็กน้อยฟัง เป็นการดำเนินเรื่องครับเหมือนเล่านิทาน  ช่วงแรกอาจจะดูอืดๆครับ จนถึงฉากการชิงตัวนักโทษบนรถไฟที่มีให้ขำบ้าง หวาดเสียวบ้าง กลางเรื่องก็จะมีการคลายปมต่างๆของตัวละครออกมาเรื่อยๆครับ และจะไปบู๊แหลกกันอีกก็ตอนใกล้จบโน้นเลย  ความสัมพันธ์ของตัวละคร ดูฉาบฉวยเกินไปครับ รีเบลคก้าดูไม่ค่อยรักแดนเท่าไหร่ขนาดลูกหนึ่งแล้ว จอห์นก็แอบคิดอกุศลกับ พี่สะใภ้  แต่พอแดนตายแล้วบอกฝาก รีเบลคก้าให้จอห์นดูแลอันนี้ค่อยโลงใจแทนครับ แต่ก็เป็ห่วงเด็กน้อยแดนนี่ ว่าอยู่ดีๆ อา กลายมาเป็น พ่อจะรู้สึกยังไง ?    
ความสัมพันธ์ระหว่างตอลโต้ กับ จอห์น ที่เคยเห็นมาในภาคก่อนๆอาจจะคล้ายกับ  แบทแมน กับ โรบิ้น   รพินท์ กับ แงซาย (เพรชพระอุมา)     แต่มาเวอร์ชั่นนี้ไม่มีความสัมพันธ์แบบ นาย กับ บ่าวครับจะบอกว่าเป็นเพื่อนกันก็ดูจะพูดไม่ได้เต็มปาก เพราะต่างคนต่างเกรียนใส่กัน ทะเลาะกันก็งอลกันน่ารักเชียวครับคู่นี้  อาจกลายเป็นคู่จิ้นคู่ต่อไปในโลกอินเตอร์เน็ตก็เป็นได้ ! 





แรกๆหลายคนกลัวการแสดงของจอห์นนี่ เดปป จะเบียดนักแสดงหน้าใหม่อย่า อาร์มี แฮมเมอร์ แต่ผลที่ออกมาคือทั้งสองมีเคมีที่เข้ากันได้ครับ อาร์มี่ ไม่ถึงกับโดนบดบงรัศมีจนหมด บุคคลิกของเขาในหนังออกจะ ซื่อบริสุทธิ์ จน ซื่อเบื้อ เลยครับเชื่อในกฎหมายมากๆ  ส่วนตอลโต้เป็นประเภทพูดน้อยต่อยหนักครับ หลายคนบอกว่านี่แหละแจ็คสแปร์โรว์เวอร์ชั่นอินเดียนแดงไม่เถียงครับ แต่ก็ไม่ด้นออกหน้าออกตาเท่าแจ็ค   สองคนนี้ทำให้นึกถึง  คู่ผจญภัย  แจ็ค กับ วิล ใน Pirates of the Caribbean  ภาคแรก กับ คู่เกรียนอย่าง หน้ากากแตน กับ เคโต้ ก็ไม่ปาน    ด้านดนตรีประกอบหายห่วงครับ Han zimmer (ฮาน ซิมเมอร์) มาเองหายห่วง และยังมีการนำเพลงธีมหลักที่เคยใช้ใน The Lone Ranger เวอร์ชั่นซีรีย์กับมาดัดแปลงใช้อีก 
          ในฉากยิงกันตอนท้ายใช้เพลงนี้คลอจังหวะได้อย่างลงตัวครับ  เพลงชื่อว่า "Finale" ฟินสมชื่อเพลงครับ  หลายคนอาจจะคุ้นๆนะครับ Pizzahut เคยเอาไปใช้เป็นเพลงสปอร์ทโฆษณาอยู่พักนึงถ้าเกิดทันหรือยังจำกันได้นะ ^^
 
สรุปแล้วหนังมีฉากเท่ๆ บรรยากาศทะเลทรายสวยงามตา ถ้าใครเป็นแฟนหนังคาวบอยก็คงชอบได้ไม่ยากครับ แอ็คชั่นอาจจะยังไม่ถึงใจ  แต่เนื้อหาสาระก็ยังพอมีนะครับ   ซึ่งไม่ต่างจากจังโก้ที่เคยรีวิวไปก่อนหน้านี้ ที่ต้องการให้เราตระหนักถึงความน่ากลัวของความโลภที่มีอยู่ในใจมนุษย์ ยอมทำทุกอย่างแม้จะต้องฆ่าล้างชีวิต จึงส่งผลสืบเนื่องมาให้ ตอลโต้คิดจะแก้ไขสิ่งที่เขาทำพลาดในอดีตด้วยการล้างแค้น เห็นไหมครับการฆ่าเมื่อได้เริ่มแล้วไม่มีวันจบสิ้นครับ มันก็จะวนเวียนต่อไปเรื่อยๆ หากเราปล่อยวางได้แล้ว ก็เท่ากับหยุดวงจรนี้ได้อย่างเด็ดขาดครับ  กฎหมายจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ถ้าหากยังมีคนแหกกฎ หรือผู้ตั้งกฎแหกกฎซะเอง จอห์นที่ศึกษากฎหมายมาจึงเห็นควรละครับที่จะต้องลูกขึ้นสู้กับพวกที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการทำความชั่ว  หนังดีครับเรื่องนี้หากเรามองข้ามเรื่องคำวิจารณ์รายรับของหนัง เทคนิคพิเศษ  แล้วหันมาสนใจตัวเนื้อหนังจริงๆคุณจะได้อะไรดีๆจากเรื่องนี้เยอะเลยครับ แต่มันยังไม่สุดครับยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างที่หวังไว้ ลูกผีก็ไม่ใช่ลูกคนก็ไม่เชิง 




6.9/10