วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

About Time ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง)รัก

About Time ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง)รัก



ผมชอบอ่านนิตยสารหนัง ใช่ครับถึงแม้ว่าทุกวันนี้ข่าวสารในวงการบันเทิงจะอัพเดต 24 ชั่วโมงเพียงแค่เปิด Facebook เพจรีวิวและวิจารณ์หนังผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด และ ยังเว็บบล็อกต่างๆ

นาๆที่โผล่เรื่อยๆ ทำเอาข่าวสารในนิตยสารหนังรายปักตามแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว นิตยสารที่ผมอ่านก็คือ Entertain ถามว่าทำไมน่ะหรอ ? ง่ายๆเลยก็ราคามันถูกกว่าเล่มอื่นนี่ครับ 30 

บาทเองรู้ตัวอีกทีก็มีเต็มบ้านตามอ่านมันมาสามปีแล้วนี่ไม่ได้จะโฆษณานะแค่เท้าความให้ฟังกันยาวๆ  พอได้อ่าน อตท. (ย่อมาจากเอนเตอร์เทน) มันทำให้ผมเริ่มสนใจหนังนอกกระแสมากยิ่ง

ขึ้น(หนังที่ไม่ค่อยฉายตามโรงต่างจังหวัด) และยังอุดมไปด้วย บทความของ "columnist" ที่เขียนกันได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน เพราะ อตท. นี่แหละครับทำให้ผมสะดุดตากับหนังเรื่องนี้ About 

Time ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง)รัก

ทิม (Domhnall Gleeson) หนุ่มร่างเล็กหัวส้มเกินไป ใช้ชีวิตอย่างจำเจกับครอบครัวที่แสนน่ารักของเขา จนกระทั่งเจ้าคุณพ่อ (Bill Nighy)เดินเข้ามาบอกทิมว่า "ทิมเอ๊ย ผู้ชายบ้านเราย้อนเวลาได้ลูก"  โดยจะย้ิอนเวลาได้โดยการหลับตานึกถึงสถานที่และยืนในที่มืด ย้อนกลับไปได้แค่ในช่วงความทรงจำของตนเองเท่านั้น เหมือนหนัง Butterfly Effect นั่นแหละ  หลัง

จากนั่นทิมก็เรียนจบจำต้องลาจรจากครอบครัว เพื่อไปล่าฝันที่กรุงลอนดอนที่นั่นเขาได้พบกับ แมรี่ (Rachel McAdams) ซึ่งชื่อเหมือนแม่เขา แล้วเขาก็อยากได้เธอมาเป็นแม่ของลูกด้วย ได้ฤกษ์แล้วที่หนุ่มทิมจะต้อง ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง)รัก เหมือนชื่อภาษาไทยของหนังเรื่องนี้  



-  ถ้าย้อนเวลาได้ ? คุณจะ...   เชื่อครับว่าหลายคนคงเคยนึกเสียดายเวลาที่ผ่านไปแล้วก็อยากจะกลับไปแก่ไขมัน เอ๊ะ ทำไมเราถึงเลือกอย่างนั่น ? เอ๊ะทำไมตอนนั้นเราถึงทำแบบนี้ ?  ทิมใช้พลังของตัวเองเพื่อเอาชนะใจสาว และคนรอบข้าง ทุกครั้งที่เขาพูดหรือทำอะไรก็ตามพลาดไปทิมจะ"โทษครับขอตัวสักครู่"แล้วก็"มุดตู้"กลับไปแก้นู้นแก้นี่อยู่เรื่อยๆ แต่ในชีวิตจริงเราทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับถามว่าพลาดแล้วมันเป็นอะไรไหม? เราได้อะไรจากมันบ้าง? แน่ครับว่าเราได้"บทเรียน"ที่จะช่วยตอกย้ำเราในวันข้างหน้าไม่ให้เราพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง  การย้อนเวลาแบบทิมนั้นก็ไม่ต่างจากการหนีปัญหานั่นเองครับ ผมเชื่อว่าในหนึ่งวันของชีวิตคนเราเนี่ยมันจะมีหลายอารมณ์เข้ามาด้วยกัน ทุกข์ สุข โกรธ เศร้า เหงา ในห้าอย่างที่พูดมามีอยู่อย่างนึงครับที่ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆเพียงเสี้ยวเดียวของวันนั้นทั้งวัน นั่นก็คือ"ความสุข" เพียงแต่เรารู้สึกถึงมันได้ รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของมันเราก็อาจจะฟินไปทั้งวัน พูดมันง่ายครับแต่ทำสิยาก ทิมหนีปัญหาด้วยการย้อนเวลา จนทำให้เขาขาดการเผชิญหน้ากับปัญหา(ผมเองก็ไม่ชอบเหมือนทิมนั่นแหละ)  จนช่วงนึงของหนังพ่อทิมก็ได้สอนวิธีการใช้พลังย้อนเวลา"ขั้นสุดยอด"ให้กับเขา นั่นก็คือ การ
ย้อนกลับเริ่มวันเดิมที่เพิ่งจะผ่านมา ไม่ว่าวันนั้นจะแย่สักปานใดขอแค่กลับไปแล้วอย่าเปลี่ยนอะไรขอแค่กลับไป"ซึมซับ"ไป"มองดูชีวิต" ทบทวนมัน ทำความเข้าใจมัน เราก็จะพบว่ามีแง่มุมที่ต่างออกไปมีอะไรใหม่ๆให้ค้นหาแม้ว่าจะเป็นวันที่เราเพิ่งจะผ่านมา เหมือนกับเราดูหนังสักเรื่องนึงครับ ดูรอบแรกสนุก ดูรอบสองได้ความรู้   ดูรอบสามประทับใจ หนังเรื่องเดียวกันแต่ไม่ว่าเราจะหยิบมันขึ้นมาดูอีกกี่รอบมันก็คุ้มเกินคุ้มครับ หัวใจหลักเรื่องการ"ย้อนเวลา"ของหนังเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าย้อนเพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆให้เป็นดั่งใจเราต้องการ แต่ย้อนเวลาเพื่อใช้เวลาอย่างคุ้มค่าทำให้ทุกวันเป็นวันพิเศษเมื่อเรากลับมาไม่ว่าจากที่ทำงานหรือโรงเรียน  คนที่บ้านก็จะถาม "วันนี้เป็นไงบ้าง ?" ก็สุดแล้วแต่ตัวเรานี่แหละครับที่จะตอบกลับไปว่าอย่างไร ?     หนังแฝงคติธรรมหลายอย่างครับ ที่กล่าวไปข้างต้นคือความคุ้มค่าของชีวิตมนุษย์เราในหนึ่งวัน แต่อีกเรื่องนึงที่เห็นจะข้ามไปไม่ได้ก็คือ การเกิดแก่เจ็บตาย สิ่งเป็นเป็นของคู่กับคนเราเหมือนไข่ดาวกับแม็กกี้ยังไงงั้นผมไม่ขอสปอยว่า การสูญเสียในหนังเกิดขึ้นกับใครในเรื่อง แต่หนังสื่อสารออกมาด้วยความหมายที่ล้ำลึกและกินใจอย่างไม่น่าเชื่อสรุปเป็นถ้อยคำโดยคนกากๆอย่างผมได้ว่า

 "คนที่คุณรัก ไม่ว่าเขาจะจากไปไหน? ความทรงจำของเราจะยังคงจารึกเขาผู้นั้นแน่นหนึบอยู่ในใจเราตลอดไป"




ไม่ง่ายเลยนะที่จะเจอหนังที่ทำให้เรา"ตกหลุมรัก"ได้อีกสักเรื่องนึง    About time เป็นมากกว่าหนังรักครับมันคือหนัง"ครอบครัว"  จากตัวอย่างที่ปล่อยออกมามันทำให้ผมทึกทักเอาเองว่ามันเป็นหนังรักวัยรุ่นธรรมดาๆที่มาพร้อมกับ"อภินิหาร" แต่มัน"เหนือ"ชั้นกว่านั้นครับ มันค่อยๆสร้างความผูกพันธ์กับผู้ชมแล้วลอกคราบจากหนังรักไปสู่หนังครอบครัวได้อย่างแนบเนียน งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้ทั้งผู้กำกับ/เขียนบทอย่าง Richard Curtis (งานเก่าๆเช่น Bean (1997) มูฟวี่/ Notting Hill (1999) /Love Actually (2003)   ที่สามารถนำพล็อตเก่าๆอย่างเรื่องการย้อนเวลาตามหารักมาเล่าใหม่พร้อมสับขาหลอกคนดูได้อย่างแนบเนียนในตอนท้ายเรื่อง  จากที่เขียนมาถามว่าหนังมีจุดด้อยอะไรบ้างหรือไม่ ? เพราะเห็นร่ายมาแต่จุดเด่นมีครับมีแต่ผมไม่ขอพูดละกัน ผมหวังอยู่ลึกๆนะ ว่าถ้าใครอ่านที่ผมพล่ามมาได้จนจบเนี่ยคงจะเข้าใจกับคะแนนที่ผมจะให้  About time ไม่เหมาะกับคนดูหนังแนวนี้ไม่เป็นด้วยประการทั้งปวงครับ

คุณๆคนที่รัก ถ้าคุณสนุกกับหนัง รักอลังการวัยรุ่น สเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็กตระการตาดาวล้านดวง จัดไปครับ ทไวท์ไลท์ มาราธอน สักรอบ แต่คุณมองหางานรอมคอมที่อุดมไปด้วยสาระพร้อมแง่มุมใหม่

ที่หนังมีมาเสริฟ์ให้แก่ชีวิตคุณแล้วละก็ About time นี่ละครับจะทำให้คุณยิ้มไม่หุบจนหนังจบเลยทีเดียว ( ไม่ได้ค่าโฆษณา ! )


10/10

เยี่ยมชมและติดตามข่าวสารหนังจากคนกากๆได้ที่เพจ "กากหนัง"  

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

Pawn Shop Chronicles (2013) ปล้น วาย ป่วง

Pawn Shop Chronicles (2013) ปล้น วาย ป่วง ให้เสียงภาษาไทยโดย "พันธมิตร"



"Pawn Shop"แปลเป็นไทยว่าโรง"จำนำ"   "Chronicles" แปล "บันทึก"หรือจดหมายเหตุก็ได้ แต่ถ้าหนังจะมีชื่อไทยว่า "เรื่องเล่าจากโรงจำนำ" มันก็คนจะดูจืดชืดเกินไป หนังเลยได้ชื่อว่า "ปล้น วาย ป่วง " แต่หนังก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษกับเรื่องปล้นๆนะครับ เพราะ หนังเล่าเหตุการณ์ 3เรื่องภายใน1วัน ทุกเรื่องจะเชื่อมโยงกันหมดและเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่โรงรับจำนำแห่งหนึ่ง     
      


เรื่องแรกเป็นเรื่องของวัยรุ่น(แต่ดารา40ต้นๆแล้ว) 3 คนที่เมายา และพยายามจะปล้นยา(เอากับมันสิ)จากเพื่อนที่เป็นพ่อค้ายา ติดอยู่ที่ว่าพวกเขาไม่มี"ปืน" แล้วเพื่อนคนนึงในกลุ่มก็เพิ่งจะเอาปืนลูกซองที่มีอยู่กระบอกเดียวไป"จำนำ"มาซะด้วยสิเวรแท้ๆ
     

 เรื่องที่สอง คู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันที่กำลังจะไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ต้องแวะที่ "โรงจำนำ"เพื่อจำนำแหวนแต่งงานเอาเงินสักก้อนไปเที่ยว แต่คุณสามี ริชชาร์ด ก็ไปสะดุดตาเข้ากับ"แหวน"วงนึงในร้านที่เขาจำมันได้ว่าสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษให้กับภรรยาคนแรกที่หายตัวไปอย่างลึกลับ นั่นทำให้เขาคิดจะสืบราวเรื่องไปถึงคนที่พากภรรยาจากเขาไป จนพบกับเรื่องราวที่คุณเองก็จะคาดไม่ถึง
    


          เรื่องสุดท้าย ริคกี้ หนุ่มอาสาสมัครกู้ภัยที่รักราชาเพลงร็อค "Elvis Presley" เป็นชีวิตจิตใจ จนจุดประกายให้เขาเดิมตามเส้นทางแห่งราชา คือเป็นนักร้องก็อปปี้โชว์เอลวิส แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้นแถมยังถังแตกต้องเอาสร้อยทองเอลวิสของแท้ไป"จำนำ"อีก จนเขาพบเข้ากับ"ชายชุดขาว"ที่ทาง"สี่แพร่ง"ที่ยื่นข้อเสนอสุดแสนยั่วยวนให้กับเขา "ความรุ่งโรจน์"แลกกับ"วิญญาณ"
      


 สามเกลอจะเอาอะไรไปปล้นเพื่อน?  คุณริชชาร์ดจะไปเจอกับอะไรที่ปลายทางของการตามล่าหาความจริง?   ริคกี้จะตัดสินใจเช่นไรกับข้อเสนอ ? ติดตามได้ใน   Pawn Shop Chronicles (2013) ปล้น วาย ป่วง ให้เสียงภาษาไทยโดย "พันธมิตร" 


ต้องขอบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้อินดี้เอามากๆ สไตล์การเล่าเรื่องและตัดต่อทำให้นึกถึงหนังอย่าง pulp fiction ของท่านเควตินยังไงยังงั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันแต่นำมาเรียงแล้วเล่าใหม่โดยที่เราจะเห็นตัวละครบางตัวจากอีกเรื่องโผล่มาเจอะกันก่อนจะดำเนินเข้าสู่เรื่องของตัวเอง  พร้อมด้วยคำพูดเสียดสีสังคม เอาความจริงมาพูดกันซึ่งๆหน้าแบบไม่เกรงใจผู้ใดจัดหนักกันที20+ แถมพันธมิตรช่วยความฮาในแบบที่คนบ้านๆอย่างเราๆก็น่าจะฮาได้ไม่ยาก(ผมนี่ท้องแข็ง)   ทุกบทพูดของตัวละครถ้าตั้งใจฟังและเก็บรายละเอียดดีๆเราจะพบว่าทุกอย่างมันเชื่อมโยงถึงกันจริงๆ 

ถึงโปสเตอร์จะหลอกคนดูว่ามันเป็นหนังแอ็คชั่นแต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ครับจะเรียกว่ายังไงดี สำหรับคนที่ไม่เคยดู
 pulp fiction  ผมก็ขอบอกคุณว่ามันก็เหมือนกับหนังเรื่อง "สามย่าน" นะแหละถ้าคุณชอบ  pulp fiction หรือ สามย่าน คุณก็สนุกกับเรื่องนี้ได้เหมือนกันครับ   

ดารานี่จัดเต็มครับ ที่จะของกล่าวถึง ณ ตรงนี้เด่นๆก็ Paul Walker ในบท Raw Dog ที่ออกแนวซื่อบื้อไม่ทันคน พูดอะไรออกมาแต่ละอย่างนี้มีสาระแต่ก็ไม่เข้าใจสาระที่ตัวมันเองพูดขึ้นมาเอง   Brendan Fraser ทิ้งคราบนักล่ามัมมี้มาเป็นเอลวิสตกอับแทนก็เล่นได้กวนTeenเอามากๆ หุ่นเหิ่นแกสมัยก่อนตอนเป็น"จอร์ทเจ้าป่า"นี่ไม่เหลือแล้วครับ"พุงเพรียวๆ"  Elijah Wood พ่อโฟรโด้ของเราทำให้หมดความเอ็นดูหน้าตาอันอ่อนเยาว์ของเขากับหนังรื่องนี้เลยทีเดียวไม่ต่างอะไรกับที่เขาทำไว้ใน"SinCity" ภาคแรก" และ "Norman Reedus" ของสาวๆอีก  ซึ่งรายหลังที่ถือว่าทำให้ผมผิดหวังอย่างแรงเลยไม่โชว์หน้า(ใส่หน้ากาก)แถมใส่กางเกงในตัวเดียวเล่นทั้งเรื่องอีก 

สิ่งที่หนังต้องการจะสื่อมันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับ ถ้าพูดกันเป็นเรื่องๆไป ตอนแรกนี่คงต้องการจะพูดถึงโทษของยาเสพติด  ตอนที่สองก็การเลิกจมอยู่กับอดีตแล้วมีความสุขอยู่กับปัจจุบันเพราะเราอาจจะต้องวนเวียนอยู่กับความทุกข์ที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น ส่วนในตอนสุดท้ายก็แสดงให้เราเห็นว่าคนเราเมื่อถึงจุดๆนึงที่เราท้อแท้และสิ้นหวังยอมจำนนต่อ"กิเลส"เราก็อาจจะเรียกร้องหา"ปาฏิหาริย์"หรือไม่ก็อาจยอมขาย"วิญาณ" เหตุการณ์สามเรื่องนี้ล้วนมาจาก"สิ่งของ"ใน"โรงรับจำนำ"ทั้งสิ้น สิ่งของทุกชิ้นมันมีที่มาที่ไปผ่านมือใครต่อใครมาหลายคนแล้วยิ่งในโรงรับจำนำอีกถ้าหากหยิบของ อะไรก็ได้ขึ้นมาสักชิ้นมันก็จะมีเรื่องราวและประวัติสาสตร์พ่วงท้ายมาด้วยเสมอนั่นล่ะครับ  อยู่ที่ว่าเราจะหยิบเอาอะไรขึ้นมาเล่า

-Pawn Shop Chronicles เป็นอีกหนึ่งผลงานเรื่องท้ายๆของดาราแอ็คชั่นผู้ล่วงลับ Paul Walker  ถ้าใครคิดถึงเขาก็ลองไปหามาดูกันครับ แต่ถ้าเป็นติ่งๆวอคกิ้งเดธที่หยิบมาดูเพราะมีนอร์แมนอยู่บนหน้าปกก็ของแสดงความเสียใจมา ณ จุดๆนี้ด้วยครับ   ตลก ดราม่า และ รุนแรง ในระดับที่ว่าผมไม่แนะนำเด็กที่อายุต่ำกว่า10ขวบดูจะดูก็ควรมีผู้ปกครองคอยให้คำแนะนำด้วยไม่งั้นลูกคุณอาจจะนอนฝันร้ายได้
                                                         7/10

วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

Rush 2013 อัดเต็มสปีด

Rush  อัดเต็มสปีด 





ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง ของสองนักแข่งF1แชมป์โลก2คนชื่อดังจากยุค70   นิกิ เลา

ด้า(Daniel Br?hl) และ เจมส์ ฮันท์ (Chris Hemsworth)  ที่ขับเคี่ยวกันมาอย่างไม่มี

ใครยอมใครในการแข่ง Grand prix จนกระทั่งเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับ นิกิ ในการแข่ง 

Grand prix ที่ เนอร์เบิร์กกริง ซึ่งเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนทัศนคติของทั้งสองในฐานะศัตรูไปตลอด

กาล


ประเด็นหลักของหนังที่ต้องการนำเสนอก็คือ การหวนคืนสู่สนามอีกครั้งของนิกิ หลังจากประสบ

อุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล แต่ถ้าหนังเล่าเรื่องเจาะจงไปที่นิกิ

เพียงฝ่ายเดียวมันจะไม่ทำให้เราได้เห็นพัฒนาการของตัวละครตัวนี้อย่างลึกซึ้งพอ และมันก็จะ

เหมือนหนังสารคดีธรรมดาๆเล่าเรื่องของชายคนนึงที่พลาดครั้งใหญ่และกลับมาผงาดอีกครั้ง(ซึ่งมี
มาเยอะแล้ว) ดังนั้นหนังจึงเล่าตัดสลับไปกับการเล่าเรื่องชีวิตของเจมส์ การเจอกันของทั้งสอง 

การได้ปะทะคารมกัน ทำให้พวกเขาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เหมือนดังประโยคที่ว่






 "เลิกคิดว่าการมี

ศัตรูในชีวิตคือคำสาปเถอะ มันอาจเป็นของขวัญ คนฉลาดตักตวงจากศัตรูได้มากกว่า คนโง่ได้

จากสหาย" 

 เด็กหนุ่มสองคนที่เริ่มรู้จักกันด้วยการเป็น"ศัตรู"สู่ "มิตร" แท้ เราจะได้เห็นมิตรภาพ

ของลูกผู้ชายสองคนที่มีความต่างขั้วกันอย่างที่สุดขับเคี่ยวกัน จนพวกเขาเติบโตไปด้วยกันและได้ 

เรียนรู้ความหมายของชีวิต 


เจสม์เป็นตัวแทนของความท้าทาย ไร้จุดหมาย ไร้แบบแผน ใช้ชีวิตเหมือนทุกวันเป็นวันสุดท้าย  

 นิกิเป็นตัวแทนของกฎระเบียบ และ วินัย  ทุกอย่างสำหรับเขามีความ"เสี่ยง"เขาไม่เคยประมาท   

 จากที่ว่ามา นิกกิมีความรอบคอบแลดูเพียบพร้อมเฟอร์เฟ็คกว่าเจมส์ก็จริง"แต่"เขามีบางอย่างที่

เขาทำแบบเจมส์ไม่ได้ ก็คือการเอาใจและเข้าถึงผู้คน ทำให้ตนเองเป็นที่ชื่นชอบ แคร์ความรู้สึก

คนรอบข้างอะไรแบบนั้น เพราะนิกกิมันขวานผ่าซากตรงเกินไปไม่มีหย่อนตั้งการ์ดกับคนรอบตัว

ต้องการให้คนยำเกรง แต่เขาก็ไม่ได้ผิดครับเพราะนี่แหละคือ"สัญชาตญาณ" การเอาตัวรอดที่ควร

พึงมี  เจมส์"หย่อน"เกินไป  นิกิ"ตึง"เกินไป   เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนเด็กในชั้นเรียนก็คือ 

หนุ่มนักกีฬาหน้าตาดี  กับ หนุ่มเนิร์ดคงแก่เรียน ก็ไม่ปาน นั่นทำให้ นิกิ "อิจฉา" เจมส์ใน

เรื่องนี้  แต่ เจมส์ ก็ "อิจฉา"  นิกกิเหมือนกันเพราะนิกกิมีทุกอย่างเพียบพร้อม ทั้งชีวิตรัก หน้าที่

การงาน และความสามารถ พวกเขาต่างผ่ายต่างก็จ้องมองกันด้วยความริษยา และ หมายจะเอา

ชนะให้ได้ จนบางทีก็ลืมมองว่าตัวเองนั้นมีทุกอย่างพร้อมสับ(แค่มีดีกันคนละแบบ)แล้วแต่คิดว่า

มันยังไม่พอ แล้วเมื่อไหร่จะพอล่ะ ?




การที่ได้เห็นเจมส์กับนิกกิในหนังเรื่องนี้แล้ว ผมก็อดตั้งคำถามกับตัวเราเองไม่ได้ว่าเอ๊ะ นี่เราทำ

ตัวเหมือนใครกันแน่หว่า ณ ตอนนี้ ? ผมชอบไลฟ์สไตล์ของนิกินะ แต่การใช้ชีวิตผมมันเริ่มเลย

เถิด และหนักข้อไปทางเจมส์ซะแล้ว สนุกสนานเฮฮาไปวันๆ หาความพอดีในชีวิตไม่ได้เลย เวลา

จะตึงก็ตึงเกิน เวลาจะหย่อนก็หย่อนเกิน ถ้าเพียงแต่เราคลำทางกลับมาหาทางสายกลางได้อีกครั้ง

ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย รู้ว่าเวลาไหนคืองาน เวลาไหนคือเล่น ชีวิตก็คงจะดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 

ชีวิตหน่อชีวิต






นังต่อติดกับผมครับ Rush ถือเป็นหนังที่ดูง่ายแต่ก็ไม่ได้ง่ายซะจนเหลวเป๋ว ผู้กำกับ Ron 

Howard (A Beautiful Mind /Apollo 13 /The Da Vinci Code ) ต้องการนำเสนอ

เรื่องราวของสองนักแข่งออกมาในรูปแบบกึ่งสาระคดี กึ่งดราม่าแอ็คชั่น มีตลกตามสถานการณ์ให้ได้ผ่อน

คลาย ก่อนจะต้องไปรับมือกับการปะทะคารมของสองนักแข่งที่นักหน่วง และ ฉากแข่งรถสุดระทึก

ที่ลุ้นกันขนาดที่ว่านอนดูต้องลุกขึ้นมานั่งดู  ตอนดูคิดว่าหนังคงจะอืดๆดูแล้วง่วงเป็นแน่แต่ไม่ใช่

อย่างที่คิดน่ะครับมัน เข้มข้น ซะจนง่วงๆอยู่นี่ตาสว่างเลยทีเดียว องค์ประกอบในหนังถูกจำลอง

ให้เป็นยุค 70 ได้โอเค แต่บางช่วงก็มีการนำ CGI มาใช่เพื่อเปลี่ยนพื้นหลังของสถานที่เช่น

สนามแข่ง การแข่งรถF1 รวมทั้งฉากไฟคลอก นิกิ เลาด้า ที่ลงทุนไปหาภาพอุบัติเหตุของจริง

จากกล้อง Super8 ของผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่ถ่ายไว้มาจำลองแบบและใช้ CGI สร้างขึ้นใหม่ 

สีสันในหนังดูสวยสดให้อารมณ์หนังยุค70  แต่เสียอย่างนึงที่การเล่าเรื่องในช่วงต้นๆ มันเหมือน

เป็นการเล่าย้อนอดีตของตัว เจมส์ ฮันท์ Over Voice (เสียงตัวเองบรรยาย) ก่อนจะตัดไปเป็น

ของนิกิ บ้าง จนถึงช่วงท้ายของเรื่องเลย เท่ากับว่า หนังเล่าเรื่องจากตัวนิกิมากกกว่า เจมส์ ถึง 

60-40 เลยทีเดียว แต่มันก็เพราะ เจมส์ ฮันท์ เสียชีวิตไปแล้วจากอาการหัวใจวาย ด้วยวัยเพียง 45ปี

เมื่อนานมาแล้ว  ทุกวันนี้จึงเหลือเพียง นิกิ เลาด้า เท่านั้นที่พอจะบอกเล่าเหตุการณ์ได้ นิกิ ได้

รับบทเรียนสำคัญในชีวิต ทำให้เขาได้รู้จักกับศัตรู(มิตรแท้)ที่ทำให้เขาเติบโต    Rush เป็นหนัง

ดราม่ากึ่งสารคดีที่มีฉากวาบหวามบ้างแต่ไม่น่าเกลียดเหมาะจะเป็นหนังที่มีไว้เปิดให้เด็กๆ(โดยมี

ผู้ใหญ่ควบคุมนะ)ดูเพื่อได้เรียนรู้จาก ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตของสองนักแข่ง F1 จากอาฆาตแค้น

แปรเปลี่ยนเป็นมิตรภาพ   เป็นงานปรัชญาที่ดูง่าย และ ลึกซึ้ง
   
   8/10 


วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

Hot Fuzz โปลิศ โคตรแมน

Hot Fuzz โปลิศ โคตรแมน

                                               

เมื่อนานมาแล้วผมกับคุณพี่ชายได้ไปเดินร้านเช่าหนังสาขา Show Time (ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่เกือบจะเป็นแห่งสุดท้ายของจังหวัดแล้วก็ว่าได้)แถวบ้านเลือกหยิบหนังวีซีดีเช่ามาดูกัน  ณ ตอนนั้น เรามีหลักการเลือกเช่าว่า หนัง แอ็คชั่น1 ตลก1 และ การ์ตูน1   โดยหนังตลกที่เราเลือกหยิบขึ้นมาคือ Hot fuzz นี่แหละครับด้วยมุมมองที่ว่ามันน่าจะเป็นแค่หนังตลกล้อเลียนดูเอาขำๆเรื่องนึงเท่านั้น แต่เมื่อได้ชิมลางเท่านั้นแหละคุณๆครับบอกได้เลยว่า มันไม่ใช่หนังล้อเลียนหรืออะไรแนวๆนั้นทั้งสิ้น กลายเป็นว่านี่เราเช่าหนัง แอ็คชั่นมา2เรื่องเลยนะนี่ !     


นิคโคลัส แองเจิล (ไซม่อน เพ็ก)  ซุปเปอร์ตำรวจจากกรุงลอนดอนที่มีผลงานและประวัติการทำงานเป็นเลิศ ถูกเจ้านายและเพื่อนๆในที่ทำงานขอให้ย้าย(ขับไล่มากกว่า)ไปประจำอยู่ในภูธร แห่งไกลลอนดอนที่ชื่อ สแตนฟอร์ด หมู้บ้านซึ่งมีตัวเลขการก่ออาชญากรรมเป็น 0 ตำรวจที่สำนักงานสแตนฟอร์ดก็เลยอยู่ในสภาพเฮฮาไปวันๆไม่ต้องทำงานภาคพื้นที่อะไรมากนัก  ที่นั้นนิคโคลัส ได้พบกับการตายอย่างปริศนาของคนในชุมชนที่ทุกคนต่างพากันมองว่ามันเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น แต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นการฆาตกรรมโดยเจตนา นิคโคลัส จึงเริ่มออกสืบค้นหาข้อเท็จจริงต่างๆโดยมี แดนนี่ (นิค ฟรอส)ตำรวจหนุ่มลูกชายสารวัตรประจำสน.ผู้คลั่งไคล้หนังแอ็คชั่น เป็นผู้ช่วย ก่อนที่งานประกวดหมู่บ้านประจำปีจะเริ่มขึ้นพวกเขาจะต้องคลี่คลายคดีนี้และจับผู้ร้ายให้ได้


Hot Fuzz  ถือเป็น the cornetto trilogy เรื่องแรกที่ผมได้ดู จากนั้นก็ Shaun of Dead และ The world's end
นับว่าเป็นการเรียงลำดับที่ดี จากเรื่องราวธรรมดา ไต่ระดับความแฟนตาซี ขึ้นไปเรื่อยๆ 
แต่ Hot Fuzz หนังที่ว่าด้วยเรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดาครับ  หนังหลอกคนดูเล่นด้วยกันหลายหน เปิดมาเราก็จะนึกว่ามันเป็นหนังตลกน่ารักๆ จนมีคนถูกฆ่าก็กลายเป็นหนังทริลเลอร์ พอหาความจริงได้แล้วก็กลายเป็นหนังระทึกขวัญ ก่อนจะปิดท้ายงามๆด้วยความแอ็คชั่น  เป็นอะไรที่แปลกใหม่มากๆ เพราะมันเป็นคาราวะอีกแล้วแต่คราวนี้เป็นการคาราวะหนัง แอ็คชั่นยุค80-90 ตำรวจคู่หูอะไรแนวนั้น โดยในเรื่องแดนนี่ เป็นคนบ้าหนังแอ็คชั่น พอมาเจอนิคโคลัส ที่เคยแอ็คชั่นมาแล้วจริงๆ ก็ถามนั้นโน้นนี่ เคยขับรถไล่คนร้ายไหม ? เคยกระโดดตะแคงข้างแล้วยิงปืนไหม ? เคยนอนยิงปืนขึ้นฟ้าแล้วร้อง อ๊าาาาาาาา แบบในหนัง Point Break ของคีอานูรีฟไหม แน่นอนครับไอ้ที่ว่ามาเนี่ยมันมีแต่ในภาพยนตร์   นิคโคลัส ก็บอกกลับไปว่างานตำรวจเนี่ยมันจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจะทำลายข้าวของหรือวิสามัญผู้ร้ายแบบในหนังมันไม่ได้  แต่แล้วพี่แกก็ต้องกลืนคำพูดตัวเองครับในช่วงท้ายของหนัง   นี่ก็จริงครับเป็นตำรวจใช่ว่าจะต้องแอ็คชั่นเสมอไป และ อะไรที่เห็นในภาพยนตร์ต่างนานามันเป็นแค่ความบันเทิงครับเราควรจะแยกแยะว่าอันไหนจริงอันไหนเกินจริง ถ้าเกิดมีคนดูหนังสักเรื่องที่เป็นหนังแอ็คชั่นแล้วไปเลียนแบบตามจนเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาก็จะเป็นปัญหาได้นะครับ แต่สิ่งที่เราควรจะนำกลับมาด้วยหลังจากชมภาพยนตร์แล้ว ควรจะเป็นแนวคิดหรือแก่นสารของหนังที่ทางผู้สร้างได้ถ่ายทอดเอาไว้ในรูปแบบของความบันเทิงครับ เราต้องรู้ด้วยเขาต้องการสื่อถึงอะไรในหนังเรื่องนี้    ไม่ใช่ว่าเลือกหยิบแต่ความสนุกสนานเฮฮา  แต่ลืมหัวใจสำคัญของเนื้อเรื่องนั้นๆไป เหมือนเรากินผัดเครื่องแกงหมู แล้วเหลือถั่วฝักยาวทิ้งไว้เต็มจานนั่นแหละครับ   แต่ก็เพราะหนังเรื่องนี้แหละครับ ทำให้ผมต้องไปหาหนังอีกสองเรื่องมาดูนั้นก็คือ Point Break คลื่นบ้าประทะคลื่นบ้า และ Badboy 2 ดูต่อหลังจากดูเรื่องนี้จบแล้ว มันส์กันไปข้างนึงเลยก็ว่าได้

ไซม่อน เพ็ก ในเรื่องนี้พลิกบทบาทเขาเลยก็ว่าได้เพราะในบทชอน เขาเป็นแค่คนธรรมดา ที่ต้องมาเจอกลับซอมบี้ แต่ คราวนี้เขาได้เป็นซุปเปอร์ตำรวจ แต่ด้วยความซุปเปอร์ของเขาทำให้เขาโดดเดี่ยวเพราะบ้างานเกินไปเคร่งกฎระเบียบจนไม่สนใจความรู้สึกคนรอบข้างเลยโดนแฟนทิ้งอีกต่างหาก ส่วน นิค ฟรอส ที่มาในบทแดนนี่ เขาเป็นคนชิวๆสบายๆได้ทุกเวลาแม้เวลาทำงานจนงานไม่เป็นงาน(แต่ก็ยังไม่บ้าเท่าเอ็ดใน Shaun of Dead  )  เขาพยายามบอกให้นิคโคลัสสนุกกับชีวิตบ้างเลยเปิดหนังให้ดู เพราะนิคโคลัสไม่เคยดูหนังมาก่อนเลยวันๆเอาแต่คิดเรื่องงาน  แดนนี่เลยบอกว่า "คุณต้องหัดปิดมันบ้างนะหัวของคุณน่ะ"  นิคโคลัสเขาตึงเกินไป แดนนี่ก็หย่อนเกินไป แต่เมื่อเขาสองคนมาเจอกันมันก็เหมือนกับช่วยผลักดันซึ่งกันและกัน เป็นมิตรภาพของลูกผู้ชายในแบบที่สาววายจะไม่มีทางเข้าใจ กลายเป็นสุดยอดคู่หูตำรวจ   ประเด็นมิตรภาพระหว่างเพื่อนอ้วนผอมคู่นี้ก็มีให้เห็นมาตั้งแต่  Shaun of Dead แล้ว แต่ถ้าจะให้เก่าแก่กว่านั้นหน่อยก็คงเป็น Power ranger  เข้าคอนเซ็ปเพื่อนไม่ทิ้งกัน

มาคิน ฟรีแมน / บิล ไนฮีย์ / สตีฟ คูแกน 

 ด้านนักแสดงในเรื่องมีทั้งหน้าใหม่เก่าวนเวียนกันมาให้เห็นจาก Shaun of Dead และเรายังจะได้เห็นอดีต007 อย่า ทิโมธี ดาลตัน เป็นดารารับเชิญด้วย

สำหรับใครที่เบื่อหนังแอ็คชั่นแบบตลาดที่เห็นพระเอกหน้าเดิมคนเดิมออกมาถือปืนเดินกราดใส่ผู้ร้าย แบบไม่นับกระสุนแล้ว อยากลองอะไรที่เป็นส่วนผสมของ หนังสืบสวนสอบสวน หลอนสั่นประสาท แอ็คชั่น คอเมดี้ เพียบพร้อมไปด้วย การหักมุมทั้งเรื่อง แล้วล่ะก็  Hot Fuzz คือหนังที่คุณตามหาอยู่



8/10

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

Shaun of the Dead รุ่งอรุณแห่งความวายป่วง

Shaun of the Dead รุ่งอรุณแห่งความวายป่วง



ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ผมเป็นคนกลัวหนัง "ซอมบี้" เอามากๆกลัวจนขี้ขึ้นสมองเลยก็ว่าได้ ตอนเด็กๆเวลามีข่าวไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่หรืออะไรระบาดขึ้นมานี่แบบว่า แทบจะไม่เป็นอันกินอันนอนไม่กล้าออกจากบ้านเลย แล้วยังโฆษณาหนังโรงอย่าง 28 Week later ที่ชอบปล่อยฉายตอนดึกๆอีกต้องคอยกดหนีเปลี่ยนช่องทุกครั้งไป และยังแผงขายหนังในเซเว่นที่ชอบเอาหนัง ซอมบี้มาวางขายเดินผ่านที่ไรใจมันหวิวๆทุกทีสินะ     อาการโรคกลัวซอมบี้ของผมนั้นมันเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว  ย้อนกลับไปเมื่อปี 2003 มันเป็นคืนวันเสาร์ Big cinema โปรแกรมเพรชหนังพันล้านเขานำเสนอ    

Resident Evil ผีชีวะ   ด้วยเห็นว่าเปิดเรื่องมาเป็นหนังแอ็คชั่นสู้กับอะไรประมาณนั้นแต่  คุณเอ๋ย พอซอมบี้ตัวแรกโผล่มาเท่านั้นแหละ ภาพมันติดตาครับ โดนกัดไปคนนึงแล้วมันก็โผล่มาอีกเป็นโขลงลากไปนั่งรับประทานกัน แต่ผมก็ยังหน้าด้านดูจนจบแบบปิดตาบ้างเปิดตาบ้าง หนังภาคนี้ยอมรับเลยครับว่ามันสยองและสนุกมากๆตอนจบก็หดหู่สุดๆ ภาคหลังตั้งแต่4เป็นต้นไปกลายเป็นหนังยอดมนุษย์เด็กดูไปเลย และในคืนนั้นพอผมเข้านอน ผมก็ฝันร้ายครับมันเป็น Nightmare ที่น่ากล้วมากๆเกี่ยวกับซอมบี้ผมจำรายละเอียดไม่ได้แล้ว แต่นอนไม่หลับเลยทีเดียว ต้องลุกขึ้นมาเปิดกิงกะแมนนอนดู ถึงจะหลับพอรุ่งเช้าพี่ชายผมก็ชวนพูดถึงหนังเรื่องนี้ว่าสร้างมาจาก"เกมส์" และท่านพี่ได้ไปหาซื้อมาเล่นเป็นที่เรียบร้อย(PS1) โอ้พระสงฆ์ เวลาแกเล่นก็จะออกจากพื้นที่นั้นโดยด่วนเลยทีเดียวแต่แกก็ไม่วายเปิดเสียงดังๆให้เสียงซอมบี้มากระทบโสตประสาทเราจนได้    
แต่แล้วความกลัวในซอมบี้ของผมก็มลายหายไปต้องขอขอบคุณหนังเรื่อง2เรื่องด้วยกัน 1.  Zombie Land ที่ทำให้ผมได้เอาความกลัวมาเล่นเป็นเรื่องตลกและอีกเรื่อง ก็คงจะหนีไม่พ้น Shaun of the Dead









ชอน   หนุ่มพนักงานร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าวัยย่าง30กำลังมีปัญหาเรื่องการใช้ชีวิตคู่กับแฟนสาว ลิซ ที่เขาไม่ค่อยจะมีเวลาให้เพราะเนื่องจากเขามักจะคลุกอยู่กับ เอ็ด  เพื่อนอ้วนจอมแสบที่แอบค้ากัญชาหารายได้เป็นบางครั้ง คอยกวนการใช้ชีวิตเขาตลอด จนลิซต้องขอเลิกกับเขา แล้วก็"ผีซ้ำด้ำพลอย"เหมือนที่ในหนังว่าไว้ เช้าวันรุ่งขึ้นกรุงลอนดอนเต็มไปด้วยซอมบี้ หลังจากที่ส่างเมาแล้วสองสหายและฟัดกับซอมบี้ที่สวนหลังบ้านไปสองตัว ชอนกังวลถึงความปลอดภัยของแม่และลิซ  เขาเลยวางแผนจะไปนำทั้งสองมาไว้ที่บ้านของเขาแล้วนั่งจิบชากัน แต่ มันไม่ปลอดภัย เพราะซอมบี้ทำบ้านเละเทะหมดแล้ว  แผน B คือพาแม่ไปรอเรื่องราวสงบที่บ้านลิซ(อพาร์ทเมนท์)แล้วนั่งจิบชากัน แต่ เอ็ดไม่อยากไปเพราะเขาไม่คุ้นเคย ถ้าจะไปเขาขอไปที่ๆ คุ้นเคยและ สูบบุหรี่ ได้ เรื่องมากจริงนะอ้วนเอ๊ย  จึงทำให้เกิดแผน C ขึ้น พวกจะรับทุกคนและมุ่งหน้าไปยังบาร์ "วินเชตเตอร์"บาร์ประจำของพวกเขา แล้วปฎิบัติการฆ่าตัวตายก็เริ่มต้นขึ้น  


"รุ่งอรุณแห่งความวายป่วง" ชื่่อไทยมันมาคล้องกับหนังที่ออกไล่ๆกันอย่าง "รุ่งอรุณแห่งความตาย" ตอนนั้นเลยคิดเอาเองว่ามันคงเป็นหนังตลกล้อเลียนแน่ๆเลย แต่พอได้มาสัมผัสแล้วมันไม่ใช่น่ะสิครับ Shaun of the Dead จัดอยู่ใน The Cornetto Trilogy ซึ่งจะประกอบไปด้วยหนังอีกสองเรื่องคือ Hot Fuzz และ The World's End (ซึ่งต้องมีรีวิวถึงแน่ในโพสต่อๆไป)  ของผู้กำกับหนุ่ม เอ็ดการ์ ไรท์ ที่ตอนนั้นยังโนเนมอยู่เลย ณ ตอนนั้น แต่พอหนังได้เข้าฉายก็ประสบความสำเร็จเกินที่คาดหวังกันไว้อย่างไม่หน้าเชื่อครับ ส่งให้สองดารานำ อย่าง ไซม่อน เพ็ก และ นิค ฟรอส ไปแจ้งเกิดในฮอลลี่วู๊ดทั้งสองคนเลย 
       หนังเรื่องนี้ เอากฎของหนังซอมบี้ในแบบฉบับของ จอร์ท เอ.โรเมโล่ (เจ้าพ่อหนังซอมบี้ยุค60)มาล้อเล่นแบบคาระวะอย่างมีชั้นเชิงเป็นงานตลกที่ไม่ใช่ Dirty Joker แบบในหนังอย่างอเมริกันอย่าง Scary movie ที่หยิบนู่นนี่มาล้อเลียนกันโต้งๆแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม เป็นงานตลกที่มีความเมโรดราม่าในตัว เพราะมันมีแนวทางเรื่องราวเป็นของตัวเองไม่ได้ไปก็อปหรือรีเมคหนังเรื่องไหน แถมหนังยังแสดงให้เห็นด้วยตัวละครในเรื่องเป็นเพียงกลุ่มคนธรรมดาไม่ใช่นักล่าซอมบี้ การกระทำบางอย่างเลยดูไม่ฉลาดเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าซอมบี้ มันทั้งสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมบางกลุ่มขณะเดียวกันสร้างความผวาให้ผู้ชมบางกลุ่มไปด้วย  ในคณะผู้ลี้ภัยของชอนทุกคนเป็นเหมือนตัวสะท้อนผู้ชม ให้เราได้ลองมองดูตัวเองว่าเราเห็นด้วยกับความคิดของใครในกลุ่นนี้ที่สุด  และนั้นคือตัวเราเองในหนังเรื่องนี้  

มันใช่ว่าจะฮากันทั้งเรื่องยิ่งตอนท้ายๆหนังถึงจุดแตกหักที่ทั้งเครียดทั้งกดดัน และมีการสูญเสียเยอะมาก แต่ลงท้ายจบได้อย่างไรอันนี้ไม่ขอบอก  มิตรภาพระหว่างเพื่อน ความรักของบุพการีที่มีต่อบุตร และยังรักแท้ที่ไม่แพ้ซอมบี้ ที่มาพร้อมกับ คอมเมดี้ ที่กวนเข้ากันได้อย่างลงตัว อาจจะดูรุนแรงไปนิดในฉากพิฆาตซอมบี้แต่มันก็เหมาะจะเป็นหนังที่ดูร่วมกันทั้งครอบครัว    เรื่องนักแสดงจัดได้ว่าหายห่วงดาราจากเกาะอังกฤษบางคนในเรื่องถ้าคุณตามซีรีย์หรือหนังจากฝั่งอังกฤษมาเยอะก็อาจจะผ่านตาผลงานของพวกเขามาบ้างก็ได้ ใครที่ดูจบแล้วอาจจะสมัครเป็นแฟนคลับ ไซม่อน เพ็ก เลยก็มี(ผมนี่แหละ)  ยิ่งพากย์ไทยของหนังเรื่องนี้เป็นทีมพากย์ช่อง7 เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วมาพากย์ น้าต๋อย เซเบ้ พากย์เป็นชอนได้อย่างเข้าถึงบทบาทจะเล่นก็เล่นจะร้องก็ร้องได้ ไม่ยิงมุขหรือใส่บทพูดตลกโปกฮาจนหน้าหนังเลอะเทอะเกินไปกล่มกล่อมกำลังดี  หยิบมาดูกี่ทีก็ฮา

      
มันทำให้ผมเลิกกลัวหนังซอมบี้ได้อย่างหายขาดเลยทีเดียวเชียว 

8/10


                                      

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

The 39 Steps (1939) งานออกลายของ hitchcock


The 39 Steps (1939) 

           

ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นต้นแบบให้กับหนังแนวพระเอกถูกใส่ร้ายและต้องค้นหาความจริงเพื่อกู้ชื่อให้ตนเอง ในยุคหลังๆหลายเรื่องเลยก็ว่าได้ 


แฮนนิ่ง หนุ่มเจ้าสำราญชาวแคนาดา ที่พบเข้ากับสาวปริศนา แอนาเบล่า สมิธ ที่อ้างตัวว่าตนเป็นสายลับที่กำลังสืบเรื่องของไส้ศึกภายในประเทศอังกฤษที่ขโมยแผนผังอากาศยานรุ่นใหม่ของกองทัพอากาศ ตามคำบอกเล่าของเธอโดยผู้บงการเป็นชายผู้มีนิ้วเพียง9นิ้วเท่านั้น และ ปริศานาเรื่องความหมายของ The 39 Steps ที่เธอไม่สามารถหาคำตอบได้ว่ามันคืออะไร  แฮนนิ่งยังไม่ปักใจเชื่อ   จนวันรุ่งขึ้น  แอนาเบล่า สมิธ เดินเข้ามาในห้องเขาพร้อมด้วยมีดปอกผลไม้ปักอยู่กลางหลังเธอแล้วล้มลงสิ้นใจ  แฮนนิ่งจึงต้องหนีการตามล่าของเจ้าหน้าในข้อหาฆาตกรและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนไปด้วย โดยเงื่อนงำที่เขามีคือ แผนที่ของหญิงสาวที่ทำเครื่องหมายบอกพิกัดของสถานที่บางแห่งที่อาจจะให้ความกระจ่างในเรื่องนี้และ ปริศนาThe 39 Steps ได้



อัลเฟรด ฮิชค็อก คือ ปรมาจารย์แห่งความระทึกขวัญ อย่างไม่ต้องสงสัยแม้หนังเรื่องนี้จะเป็นผลงานยุคแรกๆของเขา แต่มันก็คงเอกลักษณ์ดั่งเดิมที่เราจะเห็นมันได้จากงานชิ้นหลังๆของเขาเช่นกัน  ก็คือความระทึกขวัญ ความกดดันของสถานการณ์  ที่ตัวเอกของเรื่องต้องทำตัวลับๆล่อๆไม่เป็นที่ไม่น่าเชื่อถือของคนรอบข้าง และ ตำรวจที่กว่าจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดก็ปาไปจนตอนท้ายเรื่องแล้วถึงจะรู้ว่าไหนผิดไหนถูก   ฮิชค็อก วัย5ขวบเคยถูกพ่อส่งไปที่โรงพักและถูกตำรวจจับกุมขังคุกเป็นเวลา 5นาทีนี่จึงเป็นปมนึงที่ เราจะเห็นว่าตัวเอกในหนังฮิชค็อก มักจะต้องหลบซ่อนตัวจากตำรวจ และ เมื่อมีเรื่องหรือปัญหาอะไรก็ตามเกิดขึ้นพวกเขาเหล่านั้นก็จะหาทางออกด้วยตนเอง มันเล่นกับความรู้สึกคนดูได้สนุกมากเลย ว่าพระเอกจะเชื่อใจใครได้บ้าง เพราะตามท้องเรื่องเราจะเจอคนหลายประเภทที่พระเอกจะต้องไปขอความช่วยเหลือ 

 แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้เน้นที่เรื่องปมทางจิตวิทยาเข้มข้นเท่าไหร่นักออกไปทางแนวหนังสายหลับมากกว่าแต่พระเอกของเรื่องแทบจะไม่ได้ฆ่าใครเลยจนหนังจบ ซึ่งถูกต้องแล้วเขาไม่ใช่จารชนแบบ 007 หรือ เจสัน บรอน นั้นทำให้หนังดูสมจริงในระดับจับต้องได้  ถึงพล็อตเรื่องจะดูตรึงเครียดจริงจังแต่หนังก็หาช่วงให้คนดูได้ผ่อนคลาย โรแมนติคคอมเมดี้ ที่ลงตัวและกลมกลืนไปกับหนังได้อย่างถูกจังหวะจะโคน ฉากการไล่ล่าพระเอกในช่วงกลางเรื่องบนรถไฟที่ว่ายอดเยี่ยมล้ำสมัยมากในยุคนั้นที่พระเอกกระโจนไปมาระหว่างโบกี้  ที่ถ้าเป็นสมัยนี้คงเห็นกันเกลื่อนในแบบเทคนิคCGI   คุณจะพบอะไรหลายๆอย่างที่หาดูได้ในหนังสมัยนี้แต่นี้เป้นต้นฉบับครับ ถ้าคุณรักหนังคลาสสิค และ เป็นแฟนหนัง ฮิชค็อก เรื่องถือว่าเหมาะกับคุณมากๆ    

6.9/10

    


วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

Doctor Strange 2007

Doctor Strange  ฮีโร่จอมขมังเวทย์


ขณะที่กำลังเขียนรีวิวนี้ก็มีข่าวหลุดข่าวลือออกมาหนาหูกันมากๆว่าทางDisney ได้เล็ง Johnny Depp ให้มารับบท จอมขมังเวทย์  Doctor Strange ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการนะครับว่าเราจะได้เห็น ป๋าเขาใน
บทนี้หรือไม่ 

และเมื่อไม่กี่วันก่อนผมมีโอกาสได้ไปเจอ แอนนิเมชั่นเรื่องนี้ลดราคามากับหนังเรื่องอื่น3แผ่น99ที่ร้าน B2S เพราะแอนนิเมชั่นชุดนี้มันก็นานเอาเรี่องนะครับ7ปีมาแล้วตะก่อนผมเห็นแล้วก็รู้สึกเฉยๆกับฮีโร่คนนี้จนกระทั้งได้ลองสัมผัสเท่านั้นละครับคุณเอ๋ยต้องบอกเลยว่ามันเด็ดจริงๆ



สตีเว่น สเตรนจ์ ศัลยแพทย์อัจฉริยะผู้เห็นแก่ตัว รักษาแต่คนรวยและผู้มีชื่อเสียง เพื่อยกระดับชีวิตของตนต้องมาประสบ"อุบัติเหต"ทางรถยนตร์อย่างไม่คาดฝัน ทำให้เขาศูนย์เสียการควบเส้นประสาทที่มือกลายเป็น " ศัลยแพทย์ที่ใช้มือไม่ได้ "  เขาทุ่มทรัพย์สินทั้งหมดไปกับการหาทางรักษามือทั้งสองข้าง แต่มันกลับทำให้ล้มละลายด้วยปัญหาหนี้สิน จนต้องไปอยู่ข้างถนน แต่แล้วชายลึกลับ หว่อง ก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมชี้นำให้ สตีเว่นไป ทิเบตเพื่อหาทางเยียวยา   สตีเว่นจึงไปขอความช่วยเหลือเรื่องทุนจาก จีน่า อดีตแฟนสาวเพื่อมุ่งหน้าสู่ทิเบต ที่นั้นเขาได้พบกับ  Ancient One  ผู้เฒ่าจอมขมังเวยท์ที่คอยสั่งสอนวิชาการต่างๆให้สตีเว่น ไม่ว่าจะปัด กวาด เช็ด ถู และ ทุบกำแพง โดยมีหว่องเป็นพี่เลี้ยง  Ancient One  ได้บอกกับเหล่าศิษย์ทั้งชายและหญิงของเขาว่าจอมมาร  ดอร์มามมู  ที่ตนเคยได้ผนึกเอาไว้ สามารถตีฝ่าอาคมผนึกและหาช่องทางมาอาละวาดที่แดนมนุษย์ได้อีกครั้ง  มันจะเป็นไปตามคำพยากรณ์ที่ว่าจะมีผู้ถูกเลือกมาปราบ ดอร์มามมู ให้สิ้นซาก ซึ่งเราๆก็น่าจะเดาๆกันได้ไม่ยากนะครับว่าใครจะเป็นผู้ถูกเลือกและปราบจอมมารร้ายนำความสงบสุขและสมดุลของพลังกลับสู่โลกมนุษย์

Doctor Strange  ฉบับแอนิเมชั่นชุดนี้ถ้าได้เป็น ภาพยนตร์ขึ้นมาล่ะก็ มันก็จะไม่พ้นโดนเปรียบเทียบกับหนังอย่าง The Sorcerer's Apprentice  และ  The Mortal Instruments อย่างแน่นอนทั้งเวทย์มนตร์เอย และ ยังเหล่านักล่าปีศาจ อีกมันเป๊ะเลยครับถ้าทำให้หนังตามการ์ตูนชุดนี้เละแน่ๆโดนเปรียบเทียบแน่ๆ แต่ผมเชื่อนะ ว่าทางMarvelจะมีทางออกที่ดูดี พร้อมลูกเล่นแปลกใหม่ให้กับฮีโร่พลังเวทย์คนนี้แน่นอน แต่ที่แอนิเมชั่นเรื่องนี้สอดแทรกไว้นับว่าไม่ธรรมดาครับ ทั้งเรื่องปมฝังใจของ สตีเว่น ที่ไม่อาจผ่าตัดช่วยชีวิตน้องสาวไว้ได้ ทำให้เขาคร่ำเคร่งอยู่กับอาชีพการงานจนทิ้งคนรัก และ แสวงหาอำนาจและเงินทองมาเติมเต็มตนเอง จนกระทั้ง Ancient One  ชี้ให้เขาเห็นถึงการ"ปล่อยวาง"จากความทุกข์ และ การเชื่อในสิ่งที่ตนสามารถทำได้  กำแพงที่เขาต้องไปทุบมันทุกๆเช้าจนเย็นนั้น พอวันรุ่งขึ้นมันก็กลับก่อไว้เป็นรูปเป็นร่างอยู่เช่นเดิม แท้จริงแล้วเป็นเหมือนกำแพงที่ปิดกลั้นเขาไม่ให้เชื่อในเรื่องของเวทย์มนตร์ และเป็นกำแพงที่คอยกลั้นเขาไว้จากปมผิดบาปในอดีตที่เขาต้องทนทุกข์เฝ้าแต่โทษตัวเองเรื่องน้องสาว เมื่อเขาสามารถปล่อยวางเรื่องในอดีตและพร้อมก้าวต่อไป กำแพงก็อันตรธานไปโดยจะไม่กลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง ที่เขาหาทางเยียวยาบาดแผลทางกายมาตลอดนั้นแท้จริงแล้วสิ่งที่ได้รับบาดแผลและต้องการรับการเยียวยานั้นคือใจของเขานั้นเอง     ตรงนี้แหละครับที่มันโดนใจผมเอามากๆ  ถ้าเราวางความทุกข์ วางความโกรธ วางความเกลียด และ ความเศร้า ที่เป็นเหมือนกำแพงกลั้นเราได้ละก็ เราคงจะมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่มีอุปสรรค ไม่สิอุปสรรคน่ะมีเสมอครับแต่เราจะผ่านมันไปได้อย่างง่ายดายกว่าทีผ่านๆมาอย่างแน่นอน  ถึงตัวร้ายบอสใหญ่ของเรื่องที่มีชื่อแปลกๆชวนให้นึกถึงอวัยวะเบื้องล่างจะออกมากากๆโดนพระเอกของเราล้มลงได้ง่าย แต่จากแนวคิดข้างต้นที่แก่นของเรื่องนี้มัน ZEN แบบ พุทธ เอามากๆช่วยพยุงเนื้อหาตอนท้ายได้ในระดับนึงถ้าคุณไม่เน้นดูแอ็คชั่นปล่อยพลังฆ่ากันแบบดราก้อนบอลล่ะก็นะ มันก็เหมาะที่จะหามานอนดู


                                                                      7/10 

Easter Egg

ในฉากโรงพยาบาลช่วงต้นจะมีพยาบาลประกาศเรียกหาหมอ โดนอล เบลค ซึ่งในคอมมิคเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ ^^ 
แต่เฮียเขาโผล่มาแค่ชื่อเท่านั้นครับไม่ได้มาทั้งตัว 



วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

The 6th day วันล่าคนเหล็กอหังการ





"คนเหล็ก" ถือเป็นเครื่องหมายการค้าของชายคนนี้โดยแท้




"พระเจ้าใช่เวลาสร้างโลกใน7วัน และ ในวันที่6พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์"   แล้ววันที่6มกราคม2557 ผมก็ได้ดูหนังเรื่อง The 6th day   ที่คอหนังเก่าหลายคนคงจะคุ้นเคยกับอดีตท่านผู้ว่าการรัฐแคลิฟอเนียท่านนี้ Arnold Schwarzenegger ในบท Adam Gibson หนุ่มใหญ่รักครอบครัวเจ้าของธุรกิจทัวร์กรุ๊ป ที่พบว่าตัวเขาเองถูก"โคลนนิ่ง"โดยเหล่าองค์กรลึกลับที่อยู่เบื้องหลังและหมายสังหารเขาทิ้งซะ แต่ทำไม? มันจึงต้องทำอย่างนี้ด้วย อดัม จึงต้องค้นหาความจริงเบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องราวนี้ พร้อมงัดความสามารถในการรบจากที่เคยผ่านสงครามกลับมาใช้ เพื่อทวงชีวิตเขากลับคืนมา  



 การ  cloning หมายถึง กระบวนการผลิตประชากรที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันซึ่งเกิดขึ้นในธรรมชาติเมื่อสิ่งมีชีวิต    โดนหนังเล่าเปิดด้วยการพูดถึง การโคลนนิ่ง แกะดอลลี่ได้สำเร็จ จนสามารถต่อยอดได้ ไปจนถึงโคลนสัตว์เลี้ยง แล้วก็มนุษย์ ! แต่มันถือเป็นเรื่องผิดมนุษยธรรม จนทำให้กลุ่มคนคลั่งศาสนาออกมาต่อต้านเรื่องนี้จนโครงการ โคลนนิ่งมนุษย์เป็นต้องล้มพับเก็บไปพร้อมทำลายเหล่ามนุษย์โคลนทิ้งแต่... มันมีอะไรมากกว่านั้นนะสิครับ    ตัวอดัมพระเอกของเรื่องมองการโคลนนิ่งเป็นสิ่งน่าขยะแขยง ในวันเกิดของเขานั้นเขาพบว่าหมาของเขาที่ชื่อโอลิเวอร์ป่วยด้วยโรคประหลาดเมียเขาจึงอยากเขานำมันไป "repet" เป็นชื่อของคลีนิครับโคลนนิ่งสัตว์ใกล้ตายที่กำลังเป็นที่นิยมเพื่อจะได้ไม่ทำให้ลูกสาวต้องเสียใจ เขาถึงกับส่ายหน้าและห้ามเมีย   เนื่องด้วยเขาไม่ไว้ใจสิ่งมีชีวิตโคลนกลัวว่ามันจะเป็นอันตรายต่อลูกสาว แต่ถ้าใครที่ทราบบทสรุปของหนังเรื่องนี้แล้วน่าจะเข้าใจนะครับว่าความคิดของอดัมที่มีต่อ"โคลน"ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง   พูดถึงตรงนี้แล้วก็อดนึกถึงหนังเรื่อง pet sematary (กลับมาจากป่าช้า)ไม่ได้จริงๆในประเด็นที่เกี่ยวกับการสูญเสียสัตว์เลี้ยงแล้วก็คนรัก
Dr.กริฟฟิน

 อีกตัวละครนึงของเรื่องที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยก็คือด็อกเตอร์ กิฟฟิน (Robert Duvall) นักวิทยาศาสตร์ของเรื่องที่เขามีภรรยาแคทเธอรีน ที่ป่วยหนักแต่เขาใช้การโคลนสร้างเธอใหม่ทุกครั้งที่เธอจากไปรวมด้วยกัน5ครั้งแต่แคทเธอรีนก็ต้องตายจากเขาไปด้วยโรคที่ว่านั่นอยู่ร่ำไปจนในท้ายที่สุดก่อนเธอจะตายเธอได้บอกกลับกริฟฟินเองว่าเธอรู้สึกว่าเธออยู่มานานเกินพอแล้ว"บางทีการได้ตายจริงๆอาจจะเป็นความสุขที่แท้จริงกว่าการมีชีวิตก็ได้"เพราะการโคลนในหนังเรื่องนี้มันสามารถลอกเลียนความทรงจำแก้ไขหรือลบได้ด้วยครับเธอถึงรู้ตัวมาตลอดว่าตันเองเป็นโคลน   เสียดายครับที่หนังนำเสนอประเด็นนี้น้อยไปหน่อยแต่ก็เป็นดราม่าเล็กๆให้หนังได้ดูมีระดับขึ้นมาบ้าง  การโคลนแบบหนังเรื่องนี้สะดวกและรวดเร็วจนน่ากลัวเลยใช่เวลาเพียงแค่2ชั่วโมงเท่านั้นเองครับ    แต่ก็ยังโอเคกว่า pet sematary ที่เอาไปฝังแล้วได้อย่างอื่นที่ไม่ใช่คนกลับมา  สยอง "จุงเบย"





ชำแหละครับชำแหละ   


  หนังมาในพร้อมสูตรสำเร็จแบบหนังบู๊ยุค80ครับ พระเอกหนุ่ม(เหลือน้อยลงทุกที)ต้องเขาไปพัวพันกับองค์กรลับหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันและมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะจัดการได้(ทุกทีสินะ)ประมาณนั้นแหละครับ แต่กับการใส่ประเด็นโคลนนิ่งลงไปทำให้มันดูมีสีสันมายิ่งขึ้นคล้ายกับ Total recall ที่ลุงอานี่ แกเคยเล่นไว้นะครับโดนหนังจะพยายามเล่นกับความเชื่อของคนดูว่าตกลงอันไหนจริงอันไหนหลอกซึ่งได้ผลในระดับนึงครับและทำให้หนังชวนติดตามท่า แต่สำหรับคอหนังบู๊ที่เลือกหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเสพหมายจะนอนดูฉากแอ็คชั่นบู๊ล้างผลาญล่ะก็คงจะต้องทำใจนิดนึง ผมว่ามันไม่ได้ถึงกับแย่นะกำลังดีเลยไม่แบบว่าไม่ได้ฆ่าคนที่เป็นร้อยๆคนเหมือนหนังเรื่องก่อนๆของลุงแก แต่ฆ่าเพื่อเอาตัวรอดอะไรประมาณนี้ 10 กว่าศพ"เอง"ขนาดไม่มากนะ  นักแสดงหลายคนก็โอเคเล่นกันสมบทบาทดีมีมุขตลกให้ได้ขำขันบ้างเล็กน้อย  แต่สองนักแสดงของเรื่องที่เป็นที่ต้องตาต้องใจผมเป็นพิเศษคือ  Robert Duvall  และ Michael Rooker
Robert Duvall
 Michael Rooker 
หลายแรกผมชอบความเจ้าบทบาทของแกเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วจากหนังเก่าอย่าง The godfather    ส่วนรายหลังตอนนั้นอาจจะไม่เป็นที่จดจำเท่า ณ ปัจจุบันนี้เพราะ Michael Rooker ก็คือคุณพี่ เมริล ดิ๊กสัน จาก AMC The walking dead ที่คนบ้านเราน่าจะจำแกได้ไม่ยากเลยจากบทนี้   สรุปแล้ว เป็นหนังที่เป็นแบบแผนเหล่าเรื่องตามขบนหนังแอ็คชั่นสามารถรับชมกันได้ในกลุ่มคนดูหลายจำพวก ว่าจะดูเอาฮา ดูเอามันส์ ได้ทั้งนั้น แต่ที่อย่าลืมคือหนังเรื่องนี้บอกกับผมว่าเราควรตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต ความสำคัญที่จะดูแลรักษา และยอมรับความเป็นไปของธรรมชาติ  เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องยอมรับ ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและคนรอบตัวเราจะจดจำเราในฐานะอะไรเมื่อเราจากไป? อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณเองแล้วล่ะครับว่าจะทำให้พวกเขาจดจำคุณในฐานะอะไรดีหรือไม่ดีสุดแล้วแต่ตัวเรา  ในหนังเรื่องนี้บอกว่าการโคลนนิ่งมนุษย์จะสำเร็จในปี 2015 มารอดูกันครับปีหน้านี้เองฮึๆๆ

    6.9/10